จากเวียงจันทน์สู่หลวงพระบาง

ลาว ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ที่ในสายตาผมมีความเหมือนทั้งทางด้านวัฒนธรรม ภาษาและความเป็นอยู่มากที่สุด ประกอบกับผมเติมโตมาในจังหวัดชายแดนประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว ทำให้ไม่ยากที่จะเข้าใจในเรื่องภาษาและวัฒนธรรม แต่ถึงแม้ผมจะอาศัยใกล้กับประเทศลาวมาตลอดเกือบ 20 ปี ผมก็ยังไม่เคยมาเยือนประเทศนี้สักครั้ง นี่เป็นครั้งแล้วที่ผมจะได้สัมผัสกับประเทศลาวจริงๆจังๆ สักที

การเดินทางไปลาวในครั้งนี้ผมได้แรงบันดาลใจจาก คุณบอลพาเที่ยว backpacker ที่เดินทางด้วน Concept ไม่มีเงินมากมายแต่มีความสุขมหาศาล เค้าได้เขียนลายแทงในการเดินทางจากเวียงจันทน์ ผ่านวังเวียง และไปสิ้นสุดที่หลวงพระบางขึ้น ซึ่งผมก็ได้หลังไมค์และได้รับคำแนะนำต่างๆจากคุณบอลเพื่อปรับเปลี่ยนแผนตามความเหมาะสมจนเกิดทริปนี้ขึ้น

ผมมีเวลาสี่วันสามคืนผมเริ่มต้นจากบินจากกรุงเทพสู่เวียงจันทน์ แล้วนั่งรถไปวังเวียง นอนสองคืนแล้วนั่งรถต่อไปยังหลวงพระบางพักผ่อนอีกคืนก่อนจะบินกลับกรุงเทพ ถ้าจะให้เล่าการเดินทางคร่าวๆของผมก็มีเท่านี้ 555 จบแล้วครับเจอกันใหม่ในทริปหน้า … สวัสดี

ใช่ที่ไหนกันครับ นี่แค่พึ่งเริ่ม งั้นเรามาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่าาาา เช้าวันเสาร์วันหยุด หลายคนยังนอนหลับฝันหวาน ผมแบกเป้ขึ้นบ่า นั่งรถตู้ไปลงปากทางเพื่อที่จะต่อแทกซี่เข้าสนามบิน หลายคนคงสงสัยทำไมไม่นั่งแทกซี่จากบ้านเลย คำตอบคือมันแพงครับ ขาไปนี้ผมบินกับสายการบิน Bangkok Airway ที่เวลาค่อนข้างดี ออกสายๆถึงเที่ยง ผมจึงต้องมาขึ้นที่สุวรรณภูมิ สายการบิน Bangkok Airway ดีอย่างนึงตรงที่มีเล้าท์ให้นั่งระหว่างรอขึ้นเครื่องฟรี (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ) ผมจึงมาฝากท้องมื้อเช้าที่นี้มีขนมเล็กๆน้อยๆให้ลองท้อง

วันที่ 19 มกราคม 2019 เวลา 9:45 ได้เวลาขึ้นเครื่อง เครื่องทะยานออกจากสนามบินสุวรรณภูมิมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่เวียงจันทน์ เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ใช้เวลาบินชั่วโมงนิดๆๆ ผมก็มาถึงสนามบินวัตไต ที่เมืองเวียงจันทน์ สนามบินวัตไตเป็นสนามบิน นานาชาติที่ขนาดไม่ใหญ่มาก จะเล็กกว่าสนามบินใหญ่ๆ ในต่างจังหวัดของไทยอีก สนามบินแห่งนี้ออกจะอยู่นอกเมืองสักหน่อย ที่ต้องไปต่อคือสถานีขนส่งสายเหนือเพื่อขึ้นรถตู้ประจำทางไปวังเวียง วังเวียงไม่มีสนามบินครับ การเดินทาไปจะต้องไปโดยรถเท่านั้น อาจจะเดินทางจากอุดรหนองคาย ก็ได้มีรถทัวร์ขนาดใหญ่นั่งสบาย หรือจะไปแบบผมนั่งรถตู้แบบ Local ฮ่าๆๆๆ

ที่นี่เรามุ่งตรงไปยังตู้จำหน่าย SIM และช่องแลกเงินก่อนเลย ทางที่ดีมาช่องแลกเงินก่อนเพื่อเอาเงินกีบไปซทชื้อซิม ราคา SIM ที่นี่ถือว่าไม่แพงเลย พนักงานน่ารักพูดไทยชัดแจ๋วจนต้องถามว่าน้องเป็นคนไทยหรือเปล่า หลังจากนั้นเราก็มองหารถที่จะพาเราไปยังสถานีขนส่งสายเหนือ

เราใช้บริการ Taxi สนาบินซึ่งมี rate ราคาอยู่แล้ว อาจจะแพงหน่อยพอๆกับนั่งเข้าเมือง ถ้าจำไม่ผิด 140,000 กีบ เจรจาต่อรองเรียบร้อยพอตอนขึ้นอย่าเผลอไปนั่งที่คนขับนะครับ ที่นี่พวงมาลัยซ้าย จากสนามบินไปขนส่งสายเหนือ ระยะทางประมาณ 10 กว่าโล เรายังมีเวลาผมลองต่อรองให้พาไปถ่ายรูปที่ประตูชัยสักหน่อย แต่เจอราคาเข้าไป งั้นขอมุ่งตรงไปขนส่งเลยดีกว่า

ขนส่งสายเหนือประจำเมืองเวียงจันทน์ มีขนาดกระทัดลัดเล็กพอๆกับขนส่งประจำจังหวัดบ้านเรา ด้านในมีช่องจำหน่ายตั๋วมากมายหลายที่ เราต้องไปที่คิวรถตู้ไปวังเวียงเพื่อรีบจองที่นั่งก่อน ก่อนจะค่อยหาอะไรรองท้องเข้าห้องน้ำแต่ก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

ค่าโดยสารสำหรับรถตู้เองจะอยู่ที่ 60000 กีบ เป็นยานพาหนะประจำของชาวบ้านอยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจเลยที่ชาวบ้านก็อาศัยรถตู้สายนี้ในการเดินทางเช่นเดียวกัน ทำให้เราได้เห็นบรรยากาศแบบ Local อัดๆกันตามประสา เมื่อรถตู้เต็มก็ได้เวลาออก โชคดีที่มาเร็วทำให้ได้ที่นั่งหลังคนขับ ไม่อย่างนั้นต้องไปอัดเป็นปลากระป๋องด้านหลัง ซึ่งทั้งร้อนทั้งอัด ไม่รู้ฝรั่งคนนั้นทนได้ไง แถมระยะทางจากเวียงจันทน์ไปวังเวียงจริงๆ ก็ไม่ได้ไกล แต่ด้วยสภาพผิวจราจร และรถบรรทุกที่มีมากมายทำให้ใช้เวลาวิ่งถึง สี่ชั่วโมงทีเดียว

เส้นทางเริ่มจากผ่านหมู่บ้าน เหมือนกับหมู่บ้านในชนบทประเทศไทย จนเริ่มมีเข้าบ้างแต่ก็ไม่เยอะ ทางจะเป็นทางลาดยางไม่เกิน 50 เมตร สลับรุกรัง 50เมตร สลับเป็นฟันปลาอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่แปลกใจเลยทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนี้ นั่งๆ นอนๆ จนเมื่อยก้นเลยทีเดียว

สองชั่วโมงผ่านไปรถมาจอดแวะจุดพัก ก็ได้เวลาลงเข้าห้องน้ำยืดเส้นยืดสาย ข้าวเที่ยงยังไม่ได้ตกถึงท้องจริงๆจังๆ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าถ้านั่งกินแล้วรถจะรอเราไหม เลยตัดใจยังไม่กินเก็บความหิวเอาไว้แล้วเดินทางต่อ

ถัดมาอีกสองชั่วโมง เราเริ่มเห็นทิวเขาหินปูนสลับซับซ้อน เพื่อเป็นสัญญาณบอกเราว่าเราก็มาถึง วังเวียงงงงงงงแล้ว รถตู้จอดส่งเราบริเวณริมถนนแต่เราต้องต่อรถเพื่อเข้าไปในหมู่บ้านต่อ เราใช้บริการสองแถวบริเวณนั้น ซึ่งราคาไม่แพง พาไปส่งที่พัก

ถึงที่พักจัดแจงเช็คอิน นั่งพักให้หายเมื่อย ค่อยลงมาติดต่อเช่ามอไซค์ไว้เดินทางสำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วก็ได้เวลาไปเดินเล่นริมแม่น้ำซองและที่สำคัญไปหาของกินเพราะเวลานี้หิวมากกกกกกกก

อากาศที่วังเวียงนี้กำลังสบายๆๆ เราเดินข้ามแม่น้ำมายังจุดที่มีร้านตั้งแคร่ขายอาหารริมน้ำ แล้วก็จัดที่นั่งริน้ำห้อยขา สั่งอาหารกินให้หายอยากเพราะถือว่านี่คือมื้อแรกจริงๆจังๆของเราที่ลาวว และไม่พ้นอาหาร Signature คือ ส้มตำ ฮ่าๆๆๆๆ

ร้านอาหารริมน้ำราคาค่อนข้างสูง แต่ร้านอาหารอื่นๆในเมืองก็เช่นกัน มือนึงต้องมี 20000 -30000 กีบ คงเพราะที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยว ทำให้บรรยากาศคล้ายกับพัทยาบ้านเรา ฝรั่ง เกาหลี จน เดินให้ขวักไขว่

หลังจากท้องอิ่มเราเดินกลับข้ามมาสะพาน ชมวิวชิวๆๆ ดูร้านนู้นร้านนี้ แล้วมาหยุดอยู่ร้านขาย tour เพื่อจอง tour คายัคสำหรับวันพรุ่งนี้ เมื่อจองทัวร์เรียบร้อย เราเดินมาอยู่ที่หน้าผับชื่อดังที่ใครมาต้อง recommend แต่เวลานี้พึ่งจะทุ่มนึงยังไม่เปิด รอไม่ไหว ด้วยอาการล้าที่เดินทางมาทั้งวันจึงทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากที่จะกลับที่พัก พักผ่อนเพื่อเก็บแรงสำหรับลุยวันพรุ่งนี้ดีกว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

ช่วงกลางคืนเดือนปลายมกราคมแบบนี้ อากาศสบายๆ ไม่ถึงกับหนาว ทำให้คืนนี้หลับสบายยยยย ก่อนนอนก็ได้ทราบจากคนดูแล โรงแรมว่าพรุ่งนี้ตื่นเช้ามามีตลาดนัดของชาวบ้านตอนเช้า ถนนหน้าที่พักเนี่ยแหละ สบายล่ะไม่ต้องไปหาของกินที่ไหนไกล 555

เช้าวันที่สองของการเดินทาง ผมตื่นแต่เช้าประมาณ ตีห้าเห็นจะได้ เพราะได้ยินเสียง คนและรถ จึงแง้มประตูออกไปดู เห็นชาวบ้านมือนึงถือไฟฉายกำลังจัดแจงปูเสื่อ วางของขายริมถนน พอเริ่มฟ้าสางก็ได้เห็นชาวบ้านนำสินค้าทางการเกษตร คล้ายๆ ตลาดสดบ้านเรามาขายกันพอสมควร จึงได้เวลา หาขอกินเพื่อเติมพลังก่อนตะลุยในวันนี้ เพราะ ที่พักที่เราจองมาเป้นแบบ Guest house ไม่มีอาหารเช้าจึงต้องขนขวายเองแต่ก็เป็นข้อดี อาหารเช้าจะได้ไม่หยุดที่ไข่ดาวไส้กรอก 55555

หลังเดินชมตลาด เราได้อาหารเช้าแบบพื้นบ้านมาเพียบเลย อาหารที่นี่มีความคล้ายคลึงกับอาหารทางภาคอีสานของเรา อย่างข้าวเหนียวถือว่าเป็นอาหารหลักของที่นี่ กินได้กับทั้งแจ่ว ไส้กรอกที่เหมือนไส้กรอกอีสาน ปลาปิ้ง ไก่ปิ้ง หากใครชอบอาหารอีสานอยู่แล้วผมเชื่อว่าถูกปากแน่นอน

ช่วงสาย รถมอไซต์มาส่ง วันนี้เราเช่ามอไซต์ในการเดินทางซึ่ง มอไซต์ที่เช่า จะไม่มี น้ำมัน อย่าลืมเติมก่อนออกตะลุย ไม่ต้องเติมเยอะแต่เติมพอดีๆ นะ อ้อที่สำคัญผ้าปิดปากปิดจมูกสำคัญมากเพราะ ถนนที่นี่จะทำให้ผมสีดำของคุณเป็นสีแดงได้ในเวลาไม่ถึง 5 นาที 5555

เราเติมน้ำมันเรียบร้อยจุดหมายแรกที่จะไปคือ Blue lagoon แต่การที่จะไปต้องใช้เส้นทางที่ผ่านสะพานที่เค้าเก็บเงิน อาจจะเป็นเพราะเป็นสะพานเอกชนสรา้งจึงเก็บเงิน สะพานเป็นสะพานแขวที่สรา้งจากไม้ มีเลนเดียว รถยนต์ผ่านได้แต่ต้องรอให้ไม่มีรถสวน ส่วนเรามอไซต์ไปได้ชิวๆ ต้องผ่านสะพานที่มีสะน้ำสีฟ้าเขียวใสแจ๋วที่โด่งดัง นักท่องเที่ยว

Blue lagoon สถานที่ ที่ทำให้วังเวียงมีชื่อเสียง คงมาไม่ถึงถ้าไม่แวะมาที่นี่ ซึ่งจริงๆแล้วปัจจุบันมี Blue lagoon ถึงสามแห่ง ที่แรกที่มาแวะคือ Blue lagoon 1 Blue lagoon มีลักษณะเป็นสระน้ำสีฟ้าเขียว มีความใส น่ากระโดดยิ่งนั่ง ถึงแม้ว่าเรามาถึงที่ Blue lagoon กันแต่เช้าก็ยังมีนั่งท่องเที่ยวมากมาย แต่ด้วยอากาศตอนเช้ายังเย็น จึงยังไม่เห็นใครกระโดดลงน้ำรวมทั้งเราด้วย อ่อสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่วังเวียงมักจะเก็บค่าเข้าคนละ 10000 กีบ

มาต่อกันสถานที่ต่อมา เส้นทางจากหมู่บ้านไปยัง Blue lagoon 1 ทางยังคงมีรุกรังบ้างเล็กน้อย แต่ทางจาก Blue lagoon 1 มาผาหนามไซ นี่ไม่มีเลย ไม่มีทางรุกรัง เปล่าไม่มีทางลาดยาง ผ่างงง !!! 555 เล่นเองตบเอง ฝุ่นล่วนๆ ถามทางชาวบ้านมาเรื่อนจนมาหยุดอยู่ทางขึ้น จะมียายเก็บเงินค่าขึ้นก็จ่ายไป 10000 กีบเช่นเคย ระยะทางไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ยายถามซื้อน้ำยายไหม ด้วยความที่ใกล้ๆไม่จำเป็นหรอก 55 เลยเดินตัวปลิวขึ้นไป

ผ่านสองร้อยเมตรแรก นรกมีจริง ทำไมมันโหดเช่นนี้ หลายคนยังยอมแพ้ไม่ไปต่อแต่ผมไหนๆมาถึงแล้วต้องลุยๆๆ หิวน้ำก็หิว จนนักท่องเที่ยวท่านอื่นพยายามแบ่งน้ำให้ ได้แต่ขอบคุณไม่เป็นไรผมมีส้ม 555 มีส้มพกมาลูกนึงจริงๆ อย่างน้อยก็ใช้เติมพลังตอนจะหมดหลอด อากาศจากที่เย็นร้อนขึ้นมาจนต้องถอดเสื้อกันหนาวออก แล้วเดินขึ้นไปให้ถึง หลายคนบอกผานี้ยังไม่หนักเท่าผาเงิน ดีนะไม่ได้ตัดสินใจไปผาเงิน 555 ไม่งั้นตายแน่

และแล้วก็มาถึงยอดเขา วิวที่นี่ทำให้ผมหายเหนื่อย ถึงไม่หายปลิดทิ้งแต่ก็หายไปเยอะล่ะน้าาา วิวบนนี้สวยมา มีจุดให้ถ่ายรูปพอสมควร นักท่องเที่ยวก็เยอะด้วย มีมอไซค์คันเล็กๆ ให้แอ๊คท่าถ่ายรูปแต่ผมขอบายเล่นอยู่ริมผาแบบนั้นกลัวตกไปตายเอา 555

พักจนหายเหนื่อยได้เวลาเดินลง ขาลงนี่ก็ทำเอาขาสั่นผับๆเลย กว่าจะถึงด้วยความกระหายก็หนีไม้พ้นที่ต้องหาโค๊กเย็นๆจากยาย และแล้วยายก็ได้เงินผม

เวลานี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เริ่มหิวข้าวตามแผนเราจะไปกันต่อที่ Blue lagoon 2 แต่ขับได้สักพัก ทางโหดไม่ใช่แค่รุกรังอย่างเดียว อุกกาบาตเยอะมาก เด้งจนไส้สะเทือนจึงตัดสินใจ ข้ามไป Blue lagoon 3 เลย จะได้กินข้าวเล่นน้ำที่นั้นที่เดียว

เราขี่มอไซค์จาก ผาหนามไซมากว่าสิบกิโลจนมาถึง Blue lagoon 3 ที่นี่ขนาดใหญ่กว่า 1 เยอะมีสระขนาดใหญ่ มีผาหินปูด้านหลังสวยงาม ให้ร่มเงาช่วงเย็น และที่สำคัญมีร้านส้มตำให้เราสั่งมากินกันริมๆ แต่คนก็เยอะเช่นเดียวกัน อาหารก็แพงเป็นมาตรฐานเหมือนเดิม 5555

ที่ Blue lagoon 3 นี้จะมีที่ให้กระโดดน้ำ มีทั้งแบบสูงและไม่สูง เลือกได้ตามความเสียว ผมลองไม่สูงก็พอและ พอประมาณ 555 น้ำเย็นใสสดชื่นจริงๆ แต่แช่นานไปหนาวก็ต้องรีบขึ้น

ท้องก็อิ่ม แถมยังพักผ่อนกันเต็มที่ก็ได้เวลาขี่มอไซค์กลับ เราขี่กลับทั้งๆที่ตัวเปียกกันแบบนั้น โดยใช้เส้นทางเดิมผ่านสะพานจ่ายค่าใช้สะพานเช่นเดิม แล้วเลี้ยวขวาตาม GPS ไปยังถ้ำจัง สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่ไม่ควรพลาด ที่นี่จะมีสะพานแขวนสีส้มสดใจให้ถ่ายรูปกันสวยๆ เดินข้ามฝั่งมาจะเป็นส่วนที่เป็นเหมือนสวนสาธารณะ มีร้านชาวบ้านนิดๆหน่อย ทำให้ได้ขนมแปลก ขายๆแบ่งบางๆย่างที่นี่ จริงๆก็คล้ายข้าวเกรียบว่าวนะ

เดินมาจนสุดทาง จะผมกับน้ำตกเล็กๆ ด้านหน้าซึ่งน้ำใสมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มีคนลงแช่ด้วยแฮะ ก่อนจะเงยหน้าไปพบกับบันไดตั้งตระง่า ทำเอาท้อจากคนที่ปีนเข้าเมื่อเช้าเหมือนกัน แต่ยังไงก็มาแล้วก็ต้องลุยกันต่อ ด้านบนจะพบกับถ้ำที่ใหญ่พอประมาณ ประดับไฟเล็กน้อยมีความสวยงามพอตัว

เดินเล่นสักพักไม่มีอะไรมากเราก็กลับที่พักของเราเพื่อไปเตรียมลุยช่วงเย็น

กลับมาที่พักเก็บข้าวของเก็บกล้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนลุยกับทริปช่วงเย็นของเราคือคายัค เดิม กิจกรรมที่เกี่ยวกับแม่น้ำซองมีหลากหลาย ไม่ว่าจะ tubing คือล่องห่วงยาง ล่องเรือ หรือค่ายัค เราเลือกคายักเพราะ ไม่ดูหน้าเบื่อเกินไป และราคาไม่สูงมาก

ทัวร์พาเราตะลุยฝุ่นขึ้นไปทางเหนือของวังเวียงประมาณ 7-8 กิโล มาสู่จุดปล่อยตัว เรือพร้อมคนพร้อม แดดกำลังดีก็ได้เวลาล่องแม่น้ำซอง

แม่น้ำซองเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ผ่านกลางเมืองวังเวียง ระหว่างทางเราจะเจอทั้งรีสอร์ท ผับ บาร์ ร้านอาหาร ตามแนวของแม่น้ำ ส่วนตัวน้ำเองมีความลึกไม่มาก แต่บางช่วงก็เชี่ยวเอาการ ล่องมาเรื่อยๆ เราก็จะพบกับเพื่อนร่วมทางจากนานาชาติ ที่พากันล่องห่วงยางบ้าง หรือกลุ่มอาซิ้มที่พาคายัคแซงหน้าเราไป แต่ถ้ามองข้ามสิ่งเรานี้เราจะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดสองฝั่ง ภูเขาตั้งตระง่าด้านขวา แม่น้ำที่น้ำใส ถึงบางช่วงจะมีเสียงเพลงจากผับ บาร์ริมน้ำบ้างแต่บางช่วงก็สงบจริงๆ

เราใช้เวลาประมาณ สอง ชม. ในการดื่มด่ำธรรมชาติ พร้อมกระแสน้ำเชี่ยวให้เสียวเป็นช่วงๆ ด้วยความที่ประสบการณ์พายคายัคอันนั้นนิดของผม ก็พาผมเข้าดงไม้ ได้แผลมานิดๆหน่อยๆ ให้แสบเล่นเวลาอาบน้ำ -_-” ออกจาพงป่าได้ นอกจากธรรมชาติที่เราพบเจอได้ระหว่างทางแล้ว เรายังพบกับผู้ร่วมทริป ไม่ว่าจะเป็น ฝูงเรือคายัคจากทัวร์จีน ฝรั่งลอยห่วงยางหน้าแดงเพราะแดดเผามือนึงก็ถือขวดเบียร์จิบไปตลอดทาง เราพายเรือตามกระแสน้ำมาเรื่อยๆ ก็มาถึงบริเวณที่เรามากินข้าวเมื่อเย็นวันก่อน นั้นเป็นสิ่งที่บอกเราว่าสิ้นสุดทริปแล้ว

เราเดินกลับมายังที่พักเพื่ออาบน้ำอาบท่า เพื่อเตรียมออกไปกินอาหารเย็น ก่อนคืนนี้จะปิดท้ายด้วย Sakura bar บาร์ชื่อดังที่เมื่อวานมาแล้วแต่เค้าไม่เปิด วันนี้รู้เวลาสองทุ่มเปิด เราก็มาตอนบาร์เปิด แต่ยังไม่มีลูกค้าเลย

ข้อดีของการมาเร็วอย่างนึงคือเหล้าฟรี แต่ผมก็ดื่มไม่เป็นทำให้ไม่รู้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ได้แต่ชิมนิดๆแค่ให้รู้ว่า มันขมชะมัดเลย 55555 นั่งสักพัก ฟังดนตรีดังๆที่ฟังไม่รุเรื่อง เริ่มมีแขกเข้า ก็รู้ว่าไม่ใช้แนว ประกอบกับกลางวันเราลุยกันมาโหด วันนี้จึงไม่ไหวขอพักเท่านี้ ขอกลับไปนอนโรงแรมดีกว่า ZZzzzzzzzz

วันที่สามของการเดินทาง วันนี้เราต้องนั่งรถกันอีกยาวๆ เพื่อเดินทางสู่หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก ที่มีวัฒนธรรมคล้ายกับทางภาคเหนือของไทย วันนี้ทั้งวันใช้เวลากับการเดินทาง ซึ่งจริงๆระยะทางไม่เท่าไหร่ แต่ด้วยถนนหนทางที่คดเคี้ยวก็ทำให้เวลาการเดินทางปาเข้าไปสี่ชั่วโมง

ที่หลวงพระบางนี้ บ้านเมืองดูเจริญกว่าวังเวียงอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะที่นี่มีสนามบินและ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางมาเสพสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิต ต่างจากวังเวียงที่เน้นธรรมชาติ และกิจกรรม adventure

หลังจากได้ที่พักแล้ว เราจัดแจงเช่ามอไซค์รับจ้างเพื่อใช้เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เหมือนที่ทำที่วังเวียง แต่ราคาที่นี่จะสูงกว่า เมื่อได้มอไซค์แล้วเรามีเวลาเหลือแค่ช่วงบ่าย เราได้เวลาแว้นนนน กันออกนอกหลวงพระบางย้อนกลับไปทางวังเวียง และเลี้ยงเข้าซอยตาม GPS ไปยัง น้ำตกตาดแส้ น้ำตกที่รถไปไม่ถึง(เอ๊ะหรือมันถึง) ต้องนั่งเรือชาวบ้านเข้าไปอีกสิบนาที

เมื่อไปถึงจุดขึ้นเรือ มีรถนักท่องเที่ยวจอดไม่เยอะ ทำการซื้อตั๋วไปกลับและ เดินไปตามชาวบ้านไปขึ้นเรือ เมื่อถึงจุดจอดเรือ ต้องเดินต่ออีกนิดหน่อยก็จะถึงน้ำตก ถึงเมื้อเราจะมาถึงน้ำตกประมาณ 3 โมงเย็น ร้านที่นี่ส่วนใหญ่ปิดกันแล้ว นักท่องเที่ยวไม่หนาตาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมาถอดเสื้อเล่นน้ำ

เสน่ห์ของน้ำตกแห่งนี้แน่นอนครับ น้ำใสมากกกก มีสระเล็กๆ หลายๆสระ ไหลไปมา ช่วงเดือนที่มาน้ำไม่เยอะเท่าไหร่ มีบริการขี่ช้างเล่นน้ำด้วย ว่าแต่น้ำใสแทบอยากจะแก้ผ้าโดดเลย แต่เกรงใจนักท่องเที่ยวคนอื่นสุดท้ายได้แต่เอาเท้าแช่น้ำให้สำราญใจเท่านั้น

นั่งเล่นสักพัก นักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยกลับ เราก็เช่นกัน ได้เวลากลับหลวงพระบางเพื่อเตรียมไปสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป

สถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายสำหรับวันนี้ เป็นจุดที่ใครมาหลวงพระบางไม่แวะมาทดสอบกำลังไม่ได้ เอ๊ะทำไมต้องทดสอบกำลัง เพราะว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางหลวงพระบาง นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยมจิดใจหลักของชาวหลวงพระบางอีกด้วย นั้นคือพระธาตุพูสี

พระธาตุพูสีมาไม่ยากเพราะอยู่ใจกลางเมืองอีกทั้งยังตั้งตระง่าน มองจากมุมไหนของเมืองก็เห็น นักท่องเที่ยวมักมาสักการะ ชมวิวและดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ แน่นอนผมก็เช่นเดียวกัน

หลังจากพระอาทิตย์ตกแล้ว กลับลงมาด้านล่างก็จะพบกับบรรดาร้านค้าต่างๆมากมาย ส่วนใหญ่เป็นของฝาก ตลาดแห่งนี้มีชื่อว่าตลาดมือ เพราะจะเปิดขายกันตอนกลางคืน หากมีหาของกินอาจจะผิดหวังหน่อยเพราะของส่วนใหญ่จะเป็นของฝาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า สินค้าแฮนท์เมค แต่หากเดินมาเรื่อยๆจนสุด จะมีซอย ซอยนึงซึ่งซอยนี่แหละของกินเพียบ อาหาร local ที่ต้องการ

ด้านหน้าซอยอาจจะเล็กเดินเข้ามา จะมีอาหารขายพอสมควร จะซื้อกลับที่พักหรือนั่งทานที่ร้านก็ได้ตามสะดวก ราคาไม่แพง รสชาติใช้ได้มื้อเย็นจึงได้ฝากท้องกันที่นี่ ปิดวันกับตลาดมืด

เช้าวันสุดท้าย เราต้องตื่นกันแต่เช้ามาชมบรรยากาศ การใส่บาตรเข้าเหนียวอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ บริเวณใกล้ๆพระธาตุพูสี ซึ่งจริงๆแล้ว เชียงคาน จังหวัดเลย บ้านผมก็มีไม่เคยไปชม แต่ต้องมาชมไกลถึงหลวงพระบาง 5555

เราไปถึงก่อนเวลาพอสมควร นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเยอะนัก บริเวณนี้จะปิดถนนไม่ให้รถสัญจร ริมถนนจะมีจุดบริการ(เสียเงิน)ให้ นักท่องเที่ยวได้เลือกนั่งพร้อมกับข้าวเหนียวให้บริการ ซึ่งไม่นานนักทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้านก็เริ่มหนาตามากขึ้น

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจใส่บาตร ยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสาย Local ไม่ควรพลาดนั้นก็คือ เดินตลาดเช้าของที่นี่ ทางเข้าจะค่อนข้างเล็กและหายากนิดนึง พยายามเดินตามผู้คนไป สินค้าในตลาดแห่งนี้ หนีไม่พ้นพืชผัก หรือสินค้าเกษตรมากมาย และของฝากที่น่าสนใจจากตลอดแห่งนี้คือแจ่วบอง

จบจากการเดินตลาดเช้า เราก็ไปต่อกันที่ร้านกาแฟ ยอดฮิตของคนไทย ร้านกาแฟประชานิยม บรรยากาศ เหมือนร้านกาแฟโบราณที่ไม่ต้องแปลกใจเลยมีแต่คนไทย นอกจากกาแฟแล้ว ยังสามารถลองท้องด้วยโจ๊กและปาท่องโก๋ได้ ร้านจะอยู่ใกล้กับแม่น้ำ ซึ่งบรรยากาศยามเช้า อากาศดีและมีหมอกจากๆ ได้ฟิลไปอีกแบบ

หลังจากนั้นท้องอิ่ม เราแวะเที่ยววัดรอบๆ ในเมืองหลวงพระบาง หนีไม่พ้นวัดดังอย่างวัดเชียงทอง ที่มีเอกลักษณ์ด้านสถาปัตยกรรมล้านนา คล้ายทางภาคเหนือของไทย

และสุดท้ายของสุดท้ายจริงๆ ก่อนบินกลับแนะนำเลย ห้ามพลาดส้มตำลาวสไตล์หลวงพระบาง ซึ่งส้มตำที่นี่จะใส่กะปิ เส้นมะละกอจะเป็นเส้นใหญ่ๆหน่อย รสชาตินัวมากๆๆๆๆๆ ร้านจะอยู่ข้างๆวัดหนองสีคุณเมือง แนะนำเลย ถ้ามีโอกาสกลับไป จะกลับที่ทานอีกครั้ง

และแล้วก็หมดเวลาเดินทาง บันทึกความทรงจำฉบับนี้ หลายอย่างน่าจะตกหล่น เพราะเดินทางตั้งแต่ต้นปี กลับมารื้อความทรงจำก็กลางปีแล้ว ฮ่าๆๆๆ อาจจะเพราะความขี้เกียจ แต่การเดินทางในลาวแห่งนี่ก็ได้เพิ่มประสบการณ์ให้มากมายในการเดินทาง เพราะที่นี่เป็นครั้งแรกที่ไป ต่างบ้านต่างเมืองที่ความเจริญมีน้อยกว่าเรา แรกๆก็กังวลแล้วจะโอไหม ตอบเลยครับคุณจะได้เห็นอีกบรรยากาศ บรรยากาศของคน สถานที่ วัฒนธรรมที่มีเสห่น์แน่นอน ผมรับรอง

ไว้เจอกันในทริปหน้า ถ้าไม่ขี่เกียจก็จะเขียน 5555 ขอบคุณครับ

Lone Season Trip @ Ranong – Chomporn (Part Two)

หากคุณได้ลองออกเดินทางสักครั้ง มันจะทำให้รู้ว่าสิ่งที่สวยงามที่สุดไม่ได้อยู่ที่ปลายทางเสมอไป ระหว่างทางก็สวยงามไม่แพ้กัน การเดินทางที่ผมพูดในที่นี้ ไม่ใช่การจองที่พัก เดินทางไปให้ถึงแล้วก็เข้าพักจบแค่นั้น  การเดินทางสำหรับผมคือ การเปิดมุมมอง สังเกตสิ่งรอบๆข้าง ลองหยุดนิ่ง ลองสัมผัสกับสิ่งรอบๆตัว ลองสิ่งแปลกใหม่แล้วคุณจะได้รับบางสิ่งจากการเดินทางแน่นอน

 

Go to ชุมพรรรร

เมื่อผมกลับถึงฝั่ง ผมมุ่งหน้ากลับมาที่ลานจอดรถ รถที่ผมฝากไว้เมื่อวานก่อนยังอยู่ปกติดี เก็บข้าวเก็บของเพื่อออกเดินทางต่อโดยจุดหมายวันนี้ผมจะไปพักที่โฮมสเตย์ แถวบ้านท้องตมใหญ่ในเขต จังหวัดชุมพร  

เช้าวันนี้ผมจึงต้องขับรถกว่าสองชั่วโมงเพื่อข้ามจากฝั่งทะเลอันดามัน มาสู่ฝั่งอ่าวไทย ผ่านภูเขาทางใต้ที่สลับซับซ้อน โดยการมาเยือนครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกสำหรับผมเหมือนกัน เหมือนกับที่ผมไประนองแล้วตกหลุมหลังจังหวัดนี้ 

ผู้คนทั่วไปมักมองชุมพรเป็นเหมือนทางผ่านไปททางใต้ มักไม่ค่อยเป็นจุดสนใจให้ ผู้คนแวะพัก แวะเที่ยว แต่ผมไม่มองข้ามขอตะลอนหาเผื่อเจอที่สวยๆ ที่จะกลับมาบอกเพื่อนๆได้ว่า มึงพลาดดดดดดแล้วววว 5555

ผมขับรถย้อนกลับมาทางภูเขาหญ้า ผ่านน้ำตกหงาวแต่ไม่ได้แวะหรอก ถ้ามีเวลาก็อยากแวะอยากสำรวจ แต่ผมมีมื้อเที่ยง ที่โฮมสเตย์เตรียมไว้ให้ตอนเที่ยง จึงต้องรีบบึ่งไปให้ถึงที่พัก ผมใช้ทางหลวง 4006 ซึ่งมีสวยงามไม่แพ้กับทางภาคเหนือ มีเทือกเขาและวิวให้ดูเรื่อยๆ แถมยังเป็นเส้นทางที่ผ่านอำเภอ “พะโต๊ะ” ซึ่งหลายๆคนคงได้ยินมานานแล้วว่าที่นี่เป็นอีกที่ที่คนนิยมมาล่องแพ  เสียดายรอบนี้ได้แค่ผ่าน ผมแวะเติมน้ำมันที่ปั้มประจำอำเภอ ก่อนจะขับรถต่อ

 

บ้านลุงน้อย โฮมสเตย์บ้านท้องตมใหญ่

และแล้วผมก็มาถึงโฮมสเตย์บ้านท้องตมใหญ่ ที่พักคืนนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะมานอนแบบโฮมสเตย์ คือกินอยู่นอนแบบชาวบ้านแท้ๆ เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตของคนที่นี่ อาจจะสงสัยว่าทำไมผมต้องมาพักที่นี่ คือเมื่อตอนที่ผมหาที่พักคืนที่สอง ผมมีโอกาสคุยกับคุณบอล พาเที่ยว และได้คำแนะนำจากเค้าอย่างนึงว่า เกาะกุลาเนี่ย เป็นเกาะที่สวยงามและสงบที่ไม่น่าพลาด แต่ด้วยความที่ว่า เป็นเกาะที่ไม่ใหญ่ ไม่มีเรือเมล์ หากจะมาต้องเหมาเรือมาในราคา 1200 เท่านั้น ผมมาคนเดียวคงจะดดูไม่คุ้ม ผมจึงหาที่พักใกล้ๆ เกาะ โดยมีความหวังว่าจะตีสนิทนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น เพื่อข้ามเรือไปเกาะ  บ้านท้องตมใหญ่จึงเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะหมู่บ้านนี้อยู่ตรงข้ามกับเกาะเลย และที่พักแบบโฮมสเตย์นี้  คนที่มาพักมักมาเป็นกลุ่มเพื่อร่วมทำกิจกรรม

แต่เมื่อมาถึงที่นี่ก็ต้องผิดหวัง ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันศุกร์ แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวมาพักกลุ่มอื่นเลยนอกจากผม ไม่เป็นไร การเดินทางแบบนี้แผนมักเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ผมเข้าไปทักทายลุงน้อย ภรรยา และผู้ดูแลซึ่งก็คือลูกชายแก บ้านแกเป็นบ้านแบบาวประมง แนวยาวเข้าไปในทะเลด้านในส่วนที่ยื่นเข้าไปททะเล ยังเป็นระเบียงกว้างโล่งให้แขกผู้มาพัก จัดแจงเลือกที่นอนได้ตามใจชอบ

การมาพักแบบนี้อีกสิ่งหนึงที่แตกต่างจากการพักโรงแรมคือ ทุกอย่างต้องบริการตนเองทันทีที่ผมจัดแจงที่นอนสำหรับคือนี้ ผมก็เดินเข้าครัวหาข้าวทานทันทีเนื่องจาก ข้าวต้มปลามื้อเ้ามันละลายหมดละหว่างทางและ

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นสำหรับคนที่มาพักที่หมู่บ้านแห่งนี้คือ ม้าน้ำ พี่วัชรินทร์ลูกลุงน้อยผู้ดูแลโฮมสเตย์แห่งนี้ พูดคุยกับผมว่า ที่นี่มีม้าน้ำเยอะ และหากชาวบ้านเจอหรือติดมากับแหที่าวบ้านจับปลา เค้าจะเอามาอนุบาลจนมันโตแล้วก็จะปล่อยกลับลงทะเล

ม้าน้ำเป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่งที่รูปร่างอาจจะไม่เหมือนปลา หัวดูเหมือนม้าและก้างหรือกระดูดมันนั้นจะห่อหุ้มตัวเอาไว้อีกที โชคดีตอนที่ผมมา มีม้าน้ำรอปล่อยกลับสู่ธรรมชาติสามตัว

พูดคุยกับพี่วัชรินทร์จบ ผมก็กลับมาบริเวณระเบียงนอน คืนนี้ผมจะนอนที่นี้แหละ และช่วงบ่ายนี้ทั่งบ่ายผมก็จะใช้ชีวิตสโลไลฟแบบสลอต ให้เวลาไหลผ่านไปเรือยๆ ฟังเพลงบ้าง อ่านหนังสือบ้างตามประสาไป

ชุมชนบ้านท้องตมใหญ่

พระอาทิตย์อ่อนแสงลง เวลาขยับเข้ามาเรื่อยๆ ผมลุกขึ้นจากความขี้เกียจเพื่อออกไปเดินเล่นในหมู่บ้านบ้าง  หมู่บ้านแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนชาวประมงแท้ๆๆ แทบทุกหลังมีอาชีพประมง บ้านส่วนใหญ่ตั้งจึงอยู่ริมอ่าว ซึ่งอยู่ในเวิ้งที่หลบพายุได้ดี ส่วนบริเวณกลางอ่าวก็จะมองเห็นไม้ไผ่จำนวนมาก ที่ชาวบ้านไปปักเพื่อลงอุปกรณ์จับปลาไว้ 

ผมเดินมาเรื่อยๆ จนสุดทางหมู่บ้านก็จะพบกับสะพานปลาสำหรับเรือประมงมาจอดขึ้นปลา ถัดมาจากสะพานปลามีสัญลักษณ์ของหมู่บ้าน นั้นคือรูปปั้นม้าน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งมีสัตว์ที่พบมากตามธรรมชาติในบริเวณนี้ และจากการสอบถามพี่วัชรินทร์ ทำให้ทราบว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่อ่าวดินเล่นนะ มีหาดทรายด้วย สามารถเดินลัดเลาะไปตามโขดหินแล้วจะไปโผล่หาดเพียงหนึ่งเดียวของหมู่บ้านซึ่งมีชื่อว่า หาดท้องตม

การเดินทางมาหาดนี้ จริงๆ ขับรถมาก็ได้แหละ หรือจะเดินลัดผ่านเส้นทางเลียบเลาะได้ อาจจะดูรกๆวังเวง ตอนแรกก็เสียวๆ นี่มันจะไปถึงไหน 555 แต่เดินได้ครับ   เลาะมาเรื่อยๆจึงจะเห็นโขดหินและตัวหาดเอง

แน่นอนอยู่แล้วครับ หาดท้องตมนี้จะไปสวยเท่าหาดบนเกาะพยามที่ผมนอนเมื่อคืนได้อย่างไร และหาดนี้ยังมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ยังไงหาดนี้เป็นเหมือนที่พักผ่อนของคนในหมู่บ้านและบริเวณใกล้เคียง แถมที่สำคัญไม่มีคนเลย

วันนี้อากาศไม่ค่อยดีรูปที่ถ่ายมาจึงดูหม่นๆ วันนี้คงไม่ได้เห็นฟ้าสวยๆ ผมจึงเดินกลับมายังบริเวณสะพานปลาของหมู่บ้าน เดินไปแอบดูกำลังมีเรือประมงขึ้นปลาอยู่ ดูซิว่าแถบนี้มีสัตว์ทะเลอะไรบ้าง

ผมยืนดูชาวประมงสักพักก่อนเดินกลับมาที่บ้านลุงน้อยในใจก็ลุ้นว่าเย็นนี้จะได้กินอะไรเป็นมื้อเย็น กลับมาถึงป้าเตรียมกับข้าวไว้เรียบร้อย วันนี้แขกคนเดียวกินคนเดียว อาหารเลยอาจจะดูน้อยไปบ้าง แรกๆก็คิดครับว่า ไม่คุ้มเลย มีแค่ผัดปลาหมึก กับปลาแบนๆ เห็นรีวิวคนอื่นมีกุ้งมีปูด้วย หรือเพราะว่าเรามาคนเดียว ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ แต่อาหารฝีมือป้าก็อร่อยไม่เลวนะผมกินเกือบหมดตัว ซึ่งป้าบอกไว้แต่แรกแล้วกินไปเลยไม่ต้องเกรงใจ

ท้องอิ่มกลัวก็ได้เวลากลับมาที่ระเบียง คืนนี้ผมนอนตรงระเบียงเนี่ยแหละ ลมโชวอ่อนๆแต่ก็มีพัดลมเปิดไว้เวลาลมไม่มาเหมือนนกัน จัดแจงปูที่นอนหมอนผ้าห่ม วิวเวลานี่มันสวยจริงๆ 

มุมนี้เป็นมุมที่ผมชอบที่สุด ช่วงหัวค่ำมียุงบ้าง แต่ดึกๆยุงก็หายเปลี่ยนเป็นมดแทน เอาหน่าพักแบบนี้มันก็ต้องมีกันบ้าง วันนี้เป็นวันที่ผมได้พักผ่อนจริงๆจังๆ สามทุ่มผมก็เผลอหลับไป สะดุ้งตื่นอีกทีก็เกือบตีหนึ่ง เนื่องจากบ้านไม้แบบนี้ เวลาคนเดินจะมีเสียง ผมเห็นพี่คนนึงที่อาศัยในบ้าน กำลังเดินไปที่เรือพร้อมอุปกรณ์คล้ายแห จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่า เป็นเวลาที่จะออกไปจับปลา

ผมเดินออกมาที่ระเบียงด้านนอก และสิ่งหนึ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอในทริปนี้คือ เรือพร้อมคลื่น ใช่ครับเรือพร้อมคลื่นจริงๆ แต่ไม่ใช่คลื่นธรรมดานะ มันมีแสงงงงงงงงงงง

เห้ยๆๆๆ มองรอบๆ นี่มัน Life Of pi ปะเนี่ย ที่นี่มีแพลงตอนเรืองแสงด้วย พอน้ำขยับปุ๊บตรงนั้นจะมีแสงสีเขียวอ่อนๆ เสียดายถ่ายรูปไม่เห็น เพราะมันมืดมาก แสสงก็อ่อนมาก มีเพียงแค่ดวงตาที่พอจะมองเห็น ถึงจะไม่สวยงามเหมือนที่อื่นที่ผมมักจะเห็นในภาพ แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นกับตาตัวเอง

ผมใช้เวลาเกือบครึ่ง ชม. ในการกวนน้ำเล่น 555 และอีกครึ่ง ชม พยายามจะถ่ายรูป โดยไม่มีขาตั้งกล้อง จนแล้วผมก็ล้มเลิกความตั้งใจ กลับมาเก็บกล้องเข้านอนเหมือนเดิม

เช้าวันที่สามของผม วันนี้อากาศดี ผมตื่นแต่เช้ามารับอากาศบริสุทธิ์ ฟังเสียงเรือขับไปมาได้บรรยากาศดีมาก ก่อนอาบน้ำอาบท่า รับประทานอาหาร วันนี้ป้าเตรียมอาหารคล้ายกับเมื่อวานคือปลาแบนๆ ผัดขิง ไข่เค็มดาว และปลาหมึกต้มเค็ม

ผมนึกในใจปลาอีกและ และบ่นกับตัวเอง แต่ผมก็มารู้ทีหลังว่าปลาทั้งสองตัวที่ผมได้ทานไปคือปลา จาระเม็ดซึ่งราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว จากที่บ่นๆๆ ก็ได้แต่ขอโทษในใจที่เข้าใจป้าผิด 555 คุ้มและที่ได้มาที่นี่

วันนี้อากาศดีครับ อย่างที่บอก ก่อนที่จะเก็บข้าวเก็บของ และล่ำลาลุงกับป้าและพี่วัชรินทร์ ผมก็แวะมาที่สะพานปลา ซึ่งมีรูปปุนม้าน้ำเพื่อถ่ายรูปแก้ตัวจากเมื่อวาน

สำหรับแผนวันนี้ของผมนั้น คือขับรถกลับกรุงครับ ไม่มีไรมาก ขับยาวๆๆ แต่เส้นนี้ผมไม่เคยแวะหาดไหนเลยที่เลยหาดวนกรมาแล้ว ผมขอแวะบ้างหาดบางหาดที่มีชื่อจริงๆ 

ผมกลับเข้ามาที่ถนนเส้นหลัก ระหว่างทางเห็นป้ายกาแฟถ้ำสิงห์ OTOP ขึ้นชื่อจึงไม่พลาดที่จะลองแวะ ขอชิมกาแฟถ้ำสิงห์Signature ที่เป็นกาแฟอเมริกาโน่ ใส่น้ำผึ่งเล็กน้อย และต้องทึ่งอีกครั้ง เห้ยยเนี่ยแหละรสชาติที่ตามหา กาแฟถ้ำสิงห์เป็นกาแฟที่ใช้เมล็ดพันธุ์โรบัสต้า ซึ่งไม่จำเป็นต้องปลูกในที่สูงและอากาศดี แต่จะมีความขมและเข้มมากกว่ากาแฟพันธ์อาราปิก้า หากขากลับขึ้นกรุงเทพใครเห็นป้ายลองแวะชิมกันนะได้

ผมขับรถต่อเรื่อยๆ เข้ามาในตัวเมืองชุมพร เพื่อผ่านไปยังจุดหมายของผมในวันนี้ หาดที่ได้ชื่อว่ามีความยาวหมื่นลี้นั้นก็คือ หาดทุ่งวัวแล่น

หาดทุ่งวัวแล่น ไม่เห็นจะมีวัวสักตัว

และแล้วผมก็เดินทางมาถึง หาดที่ได้ขึ้นชื่อว่า หาดยาวหมื่นลี้ของชุมพร ซึ่งก็คือหาดทุ่งวัวแล่น
หาดทุ่งวัวแล่นมีความยาวค่อนข้างมาก หาดทรายกว้างและสะอาด ผมมาถึงกลางวันวันเสาร์ คนไม่ค่อยมี แดดดี มีฝรั่งนุ่งบิกินนี่เล่นน้ำน่ามอง 555 ผมใช้เวลาสักพักกับหาดทุ่งวัวเล่น นั่งรับลมสัมผัสไอแดด ก่อนจะเดินลงไปในทะเล ซึ่งน้ำใสมากกก  จึงเป็นอีกที่ ที่น่ามาแวะเวียนหาดได้มาที่ชุมพร

ตากแดดจนเริ่มเกรียมก็ได้เวลาเดินทางต่อ จุดหมายต่อไปผมให้ชื่อว่าเป็น Hidden Place ของทริปนี้ก็ว่าได้

Hidden Place อ่าวทุ่งซาง  ที่น้อยคนรู้จักแต่สวยมากๆๆๆๆๆ

ที่สุดท้ายที่ผมแวะก่อนกลับคืออ่าวทุ่งซาง ผมจำไม่ได้ว่าไปได้ข้อมูลอ่าวนี้มาจากได้ ผมได้ยินมาว่าที่นี่สวยน้อยคนที่จะรู้จัก แถมยังอยู่ระหว่างทางกลับกรุงเทพ มีหรือที่ผมจะไม่ลองออกนอกเส้นทางเพื่อมาพบกับสถานที่ใหม่ๆ ผมตั้ง GPS นำทางจากหาดทุ่งวัวแล่นมาที่นี่ซึ่งไม่ไกลมาก ระหว่างทางแวะซื้อสตอสักหน่อยไหนๆก็มาถึงนี่และ ถามว่ากินเป็นไหม คำตอบคือไม่ แต่ก็ซื้อครับเผื่อเพื่อนๆถามหาของฝาก 555 อ่ะนี่ไงสตอไปผัดเอานะ 555

กลับมาๆ ขับรถชมวิวมาเรื่อยๆ จนมาถึง อ่าวทุ่งซาน  ด้านหน้าผมเป็นศาลาพักแบบริมทาง พื้นที่ด้านหน้ามีไม่เยอะนะ ไหนใครบอกว่าสวยไง มันก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่ เวลานี่ก็เที่ยงๆ บ่ายๆ และ มีรถชาวบ้านจอดคันเดียวกับมอไซค์อีกสองสามคัน  

ผมตัดสินใจว่าจะลงไปดูสักหน่อยแล้วค่อยออกไปหาอะไรกินก่อนตีรถยาวกลับกรุงเทพ แล้วผมก็หยิบกล้องเดินลงไปในหาด แต่ภาพที่ผมเห็นแตกต่างจากที่เคยปรามาศไว้ ทางขวาของจุดที่ผมเดินลงเป็นเป็นหน้าผาตั้งสง่าท้าสายลม และบริเวณนี้น้ำใสมากๆๆๆๆ ยิ่งกว่า เหมือนตอนนี้ผมไม่ได้ยืนที่อ่าวไทย 

สมมุติมีคนถ่ายรูปมาแล้วหลอกว่าถ่ายบนเกาะผมยังเชื่อเลย 555 ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมก็เดินกลับไปที่รถทันที ไม่ใช่จะขับกลับนะ เพราะผมเปลี่ยนใจกระทันหัน ไม่โดดไม่ได้และ

 

หลังจากนั้น 5 นาทีผมก็มาพร้อมกับชุดสำหรับลงเล่นน้ำ มาคนเดียวเล่นคนเดียวก็ได้เฟ้ยยยย 555 เอาเป็นว่าน้ำใส สีเขียว กล้องก็ถ่ายมาไม่สู้ตามอง หากใครมาชุมพร บอกเลยย อย่าพลาดดดดครับ 555ที่นี่ไม่มีร้านนะครับ ซื้ออะไรมานั่งกินได้ แต่ขอรักษาความสะอาดนะครับ ความงดงามจะได้อยู่กับเราไปนานๆ

เล่นน้ำเอาจนดำทั้งตัว  เติมเต็มทริปนี่ที่ไม่ได้ลงเปียกตั้งแต่ต้นทริป มาลงเอาวันสุดท้าย 555 กลับมาตรงศาลาที่นี่มีห้องอาบน้ำจืดให้อาบครับ อาบน้ำอาบท่าเสร็จหัวเปียก กลับบ้าน

มีจุดเริ่มต้นก็มีจุดสิ้นสุดครับทริปนี้ก็ถึงเวลาอำลาประสบการณ์ดีๆที่เข้ามาเติมให้กับชีวิตผม สถานที่ๆไม่เคยไป  นอนในที่ๆไม่เคย ลองกินอะไรใหม่ๆ เนี่ยแหละครับการเดินทาง ถึงแม้บางครั้งจะติดๆขัด แต่มันก็เหมือนเป็นรสชาติครับ อย่างรอบนี้ตอนกลับผมจะแวะอีกที่นึง แต่เลี้ยวผิดซอย เข้าป่า  หญ้ารก เกือบหาทางเอารถออกมาไม่ได้ 555 หรือความผิดหวังที่ไม่มีคนแชค่าเรือเพื่อข้ามเกาะ ก็ไม่เป็นไรอย่าน้อยไม่ได้ไปเกาะแต่ก็ทดแทนด้วยอ่าวทุ่งซางเนี่ยแหละ 555

  และก็ถึงเวลาล่ำลาสำหรับการเดินทางในทริปนี้ก็จบลงเท่านี้ ขอบคุณที่อ่านบันทึกเรื่องราวของผม  ไว้เจอกันทริปหน้า……  สวัสดีครับ

Lone Season Trip @ Ranong – Chomporn (Part One)

เกริ่นนำ

ในทุกๆวันของชีวิตมนุษย์เงินเดือน เช้าตื่นไปทำงาน เย็นกลับบ้านมาพักผ่อน ก่อนนอนผมถึงจะได้มีโอกาส เปิด youtube ดูรายการทีวีเพื่อพักสายตา พักความวุ่นวายของชีวิตเมืองกรุง และหนึ่งในรายการที่ผมติดตามประจำ ก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับผมนั้นก็คือ รายการติดเกาะของคุณเรย์ ทำให้มีอารมณ์ประมาณว่า อยากเดินทางอ่ะคนเดียวก็จะไป อยากไปติดเกาะ ไปใช้ชีวิตเงียบๆ และยิ่งเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวน่าจะเงียบดีพิลึก จึงมาเป็นชื่อทริปที่ว่า Lone Season มาจาก Alone ซึ่งหมายถึงโดดเดี่ยวและ พ้องกับ Low ซึ่งคือฤดูกาลนี้

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ทำการตระเตรียมโดยเริ่มจากหาที่พักบนเกาะ ซึ่งนอกฤดูกาลแบบนี้เปิดเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น และที่พักอีกคืนที่ผมอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปนอนแบบชาวเลย์ริมทะเลก็จัดแจงจองที่พักไป ต่อด้วยการแพลนคร่าวๆ ก่อนออกเดินทาง

ออกเดินทาง

เย็นวันพุธ เวลาที่หลายๆคนกำลังกลับบ้าน หรือบ้างก็แวะทานข้าวเย็น ส่วนผมนั้นเวลานี้คือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ผมเลิกงานเสร็จรีบมุ่งตรงไปยังลานจอดรถ   สภาพอากาศเวลานี้ฝนตกปรอยๆ ผมออกจากลานจอดประมาณ หกโมงเย็น รถยนต์ในกรุงเทพค่อนข้างหนาแน่น จึงได้แต่กระดึ๊บๆๆ เพื่อขึ้นทางด่วนตรงแยกบางนามุ่งตรงผ่านเส้นพระราม 2

หลังจากลงทางด่วนตรงพระรามสองเข้าสมุทรสาคร รถที่เคยหนาตากลับเบาบางลง จนมาถึงถนนเพชรเกษมทางแยกไปเพชรบุรี จึงแวะพักเติมพลังให้กับตัวเราสักหน่อย โดยมื้อเย็นนี้อยากได้ข้าวแกงธรรมาดเนี่ยแหละรองท้อง ทั้งๆที่ปั้มที่แวะค่อนข้างใหญ่ แต่ร้านข้างต่างปิดหมด คงเพราะวันธรรมดา  จึงต้องฝากท้องไว้กับไก่ KFC ประจำปั้ม

หลังจากเดินทางยาวๆๆ ขับกันให้เมื่อยไปข้างนึง ถนนเพชรเกษมช่วงกลางคืนค่อนข้างเปลี่ยว ขับแบบสบายๆๆ แล้วยิ่งเข้าทางแยกระนอง รถยิ่งน้อยใหญ่ ปั้มก็น้อยตาม ทางใต้รู้สึกว่าปั้ม ปตท จะน้อยมากๆๆ อยากจะหาที่แวะไม่มี จนแล้วจนรอดก็ยิงยาวมาถึงระนอง 

ว่าแต่ระนองตอนตีสอง!!!  ทำไรล่ะเนี่ย จอดสิครับ เสริทหาโรงแรมที่พักราคาถูกเผื่อจะได้นอนพักสักสองสามั่วโมง อาบน้ำอาบท่าด้วย ที่อยากได้ราคาถูกเพราะ ไม่คุ้มแน่ ถ้า check in เวลานี้  ขับหาบ้างเสริทบ้าง บางที่ก็เต็ม บางที่ก็ไม่มีที่จอดรถ จนต้องมาจอดปั้มปตท เก่าๆ แล้วก็ดับเครื่องนอน  

อรุณสวัสดิ์ระนอง

ผมหลับๆตื่นๆไม่นาน ตีห้าก็ตื่นขึ้นมา เดินไปห้องน้ำซึ่งค่อนข้างเก่าและเน่า เอาวะวนหาปั้มทั้งเมืองไม่มีปั้มดีๆเลย ปั้มดีๆก็ไม่มีร้านสะดวกซื้อ เลยต้องจำยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟันแล้วแวะเข้าเซเว่นเก่าๆ ในปั้ม เพื่อหาซื้อของกินรองท้อง แล้วจึงออกเดินทางประมาณตีห้าครึ่งไปทางใต้อีกสิบกว่าโล เพราะผมลองเสริทดูแล้วมีปั้ม ปตท ใหม่ขนาดย่อมๆ มีamazonด้วย ก็ไปเลยครับ ตรงไปเลย ก่อนหน้านี้ดู google street แล้ว น่าไปพักก่อนเข้าสถานที่เที่ยวที่แรก

เซอไพรสสสส  ปั้มปตท ไม่มีแล้ววว เปลี่ยนร่างเป็น PT และร้าน minimart ยังไม่เปิด ส่วน amazon หรอ ตามรูปเลย 5555 โดนทุบไปและ สงสัยลูกค้าน้อยเจ๊งกันไปหรือไม่ก็ค่าเฟรนชายแพงจนเจ้าของต้องเปลี่ยนแบรน 

ยังดีหน่อยที่ปั้มนี้ห้องน้ำสะอาดแลดูปลอดภัย ทำให้มีเวลาเข้าห้องน้ำอีกรอบ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสถานที่เที่ยวแรกที่ตั้งใจมา ซึ่งจริงๆ แล้วก็อยู่ตรงข้ามกับปั้มนี้เลย แต่ ณ เพลานี้ฟ้ายังไม่สาง รออีกนิดนะ

ภูเขาที่เต็มไปด้วยหญ้า นามว่า”ภูเขาหญ้า”

ฟังจากชื่อไม่ต้องเดาก็รู้ว่า สถานที่เที่ยวที่แรกของผมนี้จุดเด่นคืออะไร หญ้า ใช่ครับมีแต่หญ้า ทำให้ภูเขาดูกลายเป็นทุ่งหญ้า ซึ่งสามารถชมได้ทุกฤดู ถ้าฤดูแล้งก็จะสีทองๆๆ ฤดูฝนก็จะสีเขียวๆ

ทันทีที่เข้ามาจะพบกับเจ้าถิ่น นั้นคือฝูงหมา ฝูงหมาที่นี่ดูภายนอกอาจจะกังวลมันจะรุมทึ้งตรูไหมฟระ แต่อย่ากังวลไป เจ้าถิ่นที่นี่นิสัยดีแถมบางตัวยังนำทางไปเป็นเพื่อนเราด้วย และเหมือนบางตัวมีเจ้าของนะ เห็นมีปลอกคอ

ออกจากเรื่องหมาๆ มาภูเขาหญ้ากันต่อ ภูเขาหญ้าแห่งนี้เป็นเหมือนพื้้นที่สาธารณะที่ให้ทุกๆๆคนเข้าชมฟรี ที่นี้ดูเหมือนจะมีสองส่วน ส่วนที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างๆๆๆๆๆ กับ ส่วนที่เป็นภูเขา ผมขับรถไปถ่ายรูปได้สักพักก็ถึงเวลา ปีนขึ้นภูเขาหญ้าขึ้นไปด้านบน ไปมองวิวมุมสูงบ้าง เช่นเคย มีผู้ติดตามขึ้นไปด้วย  ด้านบนไม่ได้สูงมากแต่อาจจะทำให้เหนื่อยพอประมาณ อากาศยามเช้ากำลังดีไม่มีฝน เมื่อถึงด้านบน ผมเหลือบไปเห็นว่ามีคนมากางเต้นท์นอนด้วยแฮะแต่เป็นภูเขาลูกอื่นนะ แล้วงี้เข้าห้องน้ำทีต้องปีนลงด้านล่างเลยหรอ

หากมองย้อนกลับมาทางขึ้นก็จะได้เห็น น้ำตกหงาวที่ตั้งตระหง่าสูงชัน เทียบเคียงภูเขาหญ้าซึ่งงดงามมากครับ

พอเริ่มสายแดดเริ่มออก  สาดส่องมาให้พอได้เหงื่อออก ก็ได้เวลากลับลงมาด้านล่าง ร่ำราเหล่าฝูงหมาเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางต่อ  แต่ตอนนี้พึ่งจะ 8 โมงเช้า ยังมีเวลา เพราะผมจองเรือไปรอบ 10:30 แหนะ งั้นหาที่แวะอีกสักที่ก่อนไปท่าเรือละกัน 

บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน

อีกหนึ่งจุดแวะเที่ยวของผม ซึ่งมีความหวังว่าผมอาจจะมาอาบน้ำให้ได้สดชื่นกันที่นี่ แต่สุดท้ายก็ได้แค่แช่เท้าและถ่ายรูปเท่านั้น น้ำแร่ที่นี้เป็นน้ำแร่ที่ผุดขึ้นมา มีจำนวนสามบ่อและมีแร่ธาตุจำนวนมากโดยปราศจากกำมะถัน 

พูดถึงบริเวณบ่อน้ำแร่ อากาศค่อนข้างดี และมีต้นไม้เยอะมาก ผมมีโอกาสเข้ามาแช่เท้าพักนึง รู้สึกเลยว่า น้ำร้อนมาก 555  คนแถวนี้บางคนดูแล้วเป็นขาประจำ มาออกกำลังกายเสร็จก็แวะมาแช่ บางคนแช่แค่เท้า บางคนแช่ทั้งตัวก็มี

หลังจากแช่เท้าเสร็จ ก็ไม่ได้อาบน้ำครับ ขับรถต่อไปยังท่าเรือ ระหว่างทางนึกขึ้นได้ มื้อเช้าจริงๆ จังๆๆยังไม่ได้ตกถึงท้องเลย พลันเหลือบไปเห็นร้านเย็นตาโฟทะเล ด้านหน้าพอมีลูกค้า แถมยังมีที่ว่างให้จอดรถอีกด้วย ได้เวลาหาอะไรใส่ท้อง ไม่น่าเชื่อว่าร้านที่แวะมามั่วๆ จะรสชาติดีแบบนี้ ฟินกันไป 

 

หลังจากท้องอิ่มก็หาที่นอน     …….   ใช่หรออ เดินทางไปท่าเรือต่อสิครับ บริเวณท่าเรือที่มีรับฝากรถหลายแห่งเลือกแห่งใกล้ๆๆ และปลอดภัย คือตรงข้ามท่าเรือเลย จอดเสร็จ อีกเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เวลาเรือออก ไม่เป็นไรเข้าไปต่อรองก่อนว่า ไปรอบก่อนหน้าได้ไหม คำตอบที่ได้มาคือไม่ได้ 555 รู้งี้ไม่จองรอบมาดีกว่า เลยต้องนั่งรอ นอนรอเลยทีเดียว

ดีที่มีร้านกาแฟ แวะสั่งกาแฟสักแก้่วแล้วนั่งดูดยาวๆๆ นั่งฟังคนท้องถิ่นพูดคุยกันก็ สนุกไปอีกแบบ

เกาะที่ต้องมุ่งมั่นถึงจะมาถึง เกาะพยาม

นั่งฟังเพลงรอจนได้เวลา ก็เดินไปที่ท่าเรือเห็น เรือ speedboat ลำใหญ่เข้าเทียบท่าจึงเข้าไปถามก็ทราบว่าลำนี่แหละ แต่ระหว่างนั้นสายตากวาดไปรอบๆ ก็เห็นสะตอจำนวนมากวางอยู่จึงทราบว่า ผลผลิตทางเกษตรกรรมของระนองคือสะตอ  และบนเกาะพยามนั้นเองก็มีสะตอปลูกจำนวนมากจึงไม่แปลกที่จะเห็นเรือบรรทุกสตอข้ามมาขายบนแผ่นดินใหญ่

 

กลับมาพูดถึงเรือข้ามเกาะ เรือข้ามเกาะพยามมีอยู่สองแบบคือ speed boat ใช้เวลาเดินทางเพียง สี่สิบนาทีเท่านั้น อีกแบบคือเรือเมล์ ใช้เวลาในการเดินทาง สองชม.ครึ่ง และราคาตั๋วไม่ได้ต่างกันมาก 350 กับ 200 จึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่เดินทางโดย speed boat

ทันทีที่ถึงเวลาผมกับผู้โดยสารอีกสี่ห้าท่านขึ้นเรือ speed boat ลำใหญ่ พร้อมกับสวมเสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง การมาเที่ยวนอกฤดูการแบบนี้มันก็จะดูเงียบๆ เป็นธรรมดา ดีนะที่วันนี้ฝนไม่ตก ได้สัมผัสกับแดดบ้าง ทั้งๆที่ ระนองซึ่งหลายคนพูดไว้ว่าเป็นเมืองฝนแปดแดดสี่ จึงมักจะเจอฝนเป็นเรื่องธรรมดา

speed boat นำเรามาถึงที่ท่าเรือเกาะพยาม ซึ่งเป็นเหมือนย่านธุรกิจของเกาะแห่งนี้ ก้าวแรกที่เข้ามาบนเกาะ คุณก็จะพบกับบรรดาร้านเช่ามอเตอร์ไซต์เรียงรายมากมาย อันเนื่องมาจากว่า นักท่องเที่ยวน้อย ทำให้มีรถว่างเยอะ แต่ถ้ามาช่วงฤดูท่องเที่ยวรถอาจจะไม่เพียงพอ

ผมเดินมุ่งตรงไปยังร้านเช่ามอไซค์แห่งหนึ่งตามที่คุณป้าที่เจอที่ท่าเรือแนะนำไว้ ซึ่งราคาไม่ต่างจากร้านอื่น แต่เราดันไปรับปากเค้าไว้ว่า ได้ครับเดี๋ยวไปเช่าร้านป้า ก็เลยตามเลย 

 

หลังจากที่ได้ยานพาหนะที่จะพาเราร่อนทั่วเกาะในราคา 200 บาท ผมก็ขับขี่เริ่มจากด้านซ้ายของเกาะคือ รีสอร์ทที่มีชื่อและหรูที่สุดของเกาะพยาม ไม่มีใครไม่รู้จัก นั้นก็คือ  Bluesky resort 

 

ผมมาที่ Bluesky นี่ไม่ได้มาพัก ผมมาถ่ายรูปด้านหน้าเฉยๆ แต่แอบได้ยินว่า ที่พักเต็มนะครับ นี่ขนาดว่าช่วงมรสุมคนก็ยังจองมาพักกัน 

ถ่ายรูปพอสังเขป อาหารไม่ได้สั่ง ตังไม่มีพัก เกรงใจพนักงาน  ก็ขับกลับมาตรงท่าเรือ เลยไปหน่อยเป็นจุดหมายอันดับสองของเกาะคือ วัดเกาะพยาม

 

จุดเด่นของวัดเกาะพยาม ซึ่งเป็นที่พึ่งพิงด้านจิตใจแห่งเดียวของคนบนเกาะนี้คือ โบสถ์กลางน้ำ ที่มีสะพานทอดยาวไปหาดูสวยแปลกตา โดยหลังจากมาถึงจะพบกับเจ้าถิ่นออกมาต้อนรับจำนวนมากเจ้าถิ่นที่นี้เป็นมิตรครับไม่ต้องกลัว บางตัวนี่พาเราเดินเที่ยวก็มี เสียดายว่าไม่มีขนมติดมาด้วย ไว้รอบหน้านะ 

กลับมาที่มอไซค์เช่า เวลานี้ก็เที่ยงและ ท้องเริ่มหิวอีกครั้งได้เวลาไปยังรีสอร์ทที่จองไว้ ผมขี่รถกลับมาบริเวณท่าเรือเลี้ยวเข้าแยก แล้วตรงไปตามถนนซึ่งมุ่งหน้าข้ามไปอีกฝั่งของเกาะ ชุมชนส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณท่าเรือ ไม่ว่าจะโรงเรียน โรงพยาบาลสาธารณสุขตำบล หรือจุดบริการประชนชาของตำรวจ  ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่เป็นจุดที่คึกคัดสุดของเกาะ

 

ผมขี่รถผ่านมาเรื่อยๆ สังเกตได้ว่า บรรดาร้านค้า ผับ บาร์และรีสอร์ต ต่างปิดกันซะส่วนใหญ่ หรือหากร้านไหนเปิดก็แนวๆ ว่าร่างทีเดียว เพราะนักท่องเที่ยวบนเกาะในฤดูมรสุมนี้น้อยถึงน้อยมากกกกกกก  จึงไม่แปลกที่ร้านกว่า 80% จะปิดกัน ซึ่งที่ปิดกันนั้นเข้าใจว่าปิดชั่วคราวนะ  ผมลองจินตนาการถ้าเป็นฤดูท่องเที่ยว คงเต็มไปด้วยบรรดาผู้คนมากมาย เกาะคงคึกคักมาก แต่การมาช่วงเวลานี้ก็ดีไปอีกแบบมีความเป็นส่วนตัวมาก คือไม่มีคนจริงๆ คิดเล่นๆๆ น่าจะ ไม่เกิน50 ทั้งเกาะ ตีไปว่าอยู่ Blue sky ก็ 30 และ อีก 20 ก็แบบผมเตร็ดเตร่ไปเรื่อย 5555

กลับมาที่การแว้นๆ ของผม ถนนบนเกาะ ส่วนใหญ่ ย้ำนะครับส่วนใหญ่เพราะหลังจากนี้จะเจอส่วนน้อย 555  ส่วนใหญ่ถนนของที่นี้เป็นคอนกรีตปูนครับ กว้างประมาณรถยนต์หนึ่งเลน แต่ที่นี่ไม่มีรถยนต์วิ่งนะ  มีแต่มอไซต์เนี่ยแหละ หรือไม่ก็มอไซต์พ่วงข้าง พ่วงท้าย อันนี้ก็ต้องระวังหน่อย

 

ผมขี่ไปพลางดูแผนที่ไปพลาง ถามทางพลาง จนมาถึงรีสอทที่จองชื่อ JJ Beach resort และด้วยความมาคนเดียวอยู่ง่ายกินง่าย ผมก็จองเป็นเต้นท์ แบบกางในศาลาครับ ซึ่ง JJ เนี่ยเค้าตั้งอยู่ที่อ่าวใหญ่ที่เป็นหาดที่ใหญ่ที่สุดของเกาะตามชื่อนั้นเอง แต่ก็เป็นฝั่งที่รับมรสุมเต็มๆ ทำให้ที่นี่ค่อนข้างลมแรง

 วังเวงอ้างว้าง in JJ

ต่อไปนี้ผมขอเรียกรีสอร์ทแห่งนี้สั้้นๆ ว่า JJ นะครับ ชื่อมันยาว 5555 เมื่อขี่เข้ามาจะพบว่าทางเข้านั้นเพียงพอให้คนตัวใหญ่เดินเท่านั้น สองข้างทางเป็นป่า ป่าจริงๆ วังเวงมาก ตอนเข้ามานึกว่าเข้าผิดถึงกับขี่กลับไปถามชาวบ้านแถวนั้น 555 ขี่เข้ามาไม่นานก็เจอกับลานจอดมอไซค์ ก่อนจะถึงจะผ่านอุปสรรคนิดๆ นั้นคือถนนทราย  หากใครเคยขี่มอไซค์บนทรายจะทราบว่าการทรงตัวนั้นมันยากเพียงใด แต่อีกมุมนึงมันครับ 555

ทันทีที่ดับเครื่อง ความเงียบก็ปรากฎขึ้น ไม่มีรถสักคัน ตรงหน้ามีบังกะโลที่ไม่มีวี่แววว่ามีคนพัก ผมสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าสู่ทะเลเพื่อหาเจ้าหน้าที่เพื่อทำการเช็คอิน จนมาถึงร้านอาหารหน้าหาด มีแม่ครัวอยู่ 1 คนกับผู้ดูแล 1 คนจึงได้ทำการเช็คอิน 

ผู้ดูแลพาผมไปยังห้องพัก ผู้ดูแลบอกกับผมว่า วันนี้ไม่ค่อยมีคนพัก จึงอัพเกรดให้ผมนอนบังกะโล  แต่ด้วยว่า กลางวันอาจจะเสียงดังหน่อยเพราะบางห้องกำลังปรับปรุงเพื่อรอฤดูกาลท่องเที่ยวถัดไป ดีใจสิครับ นอนสบายกว่าเดิม นึกว่าจะมีแอร์ ป่าวบังกะโลที่นี่ทุกหลังเป็นพัดลม5555  แต่มองซ้ายมองขวา ไม่มีแขกคนอื่นเลยยยยย แถมบริเวณรีสอร์ทเป็นต้นไม้สูงใหญ่ร่มรื่นทั้งนั้น ได้อารมณ์ดีจริงๆ

เมื่อเข้ามาในห้องก็แอบหลอนนิดๆๆ ห้องน่าจะตกแต่งเอาใจฝรั่งที่ชอบของแบบ local ๆๆ บังกะโลนึงสามารถนอนได้ถึงสามคน ห้องน้ำยังกึ่งๆ outdoor อีกด้วยโอ้ววว แม่เจ้า บรรเทิงล่ะคืนนี้ 55555

เก็บของเรียบร้อย จึงอาบน้ำอาบท่าที่ไม่ได้สะสมมาตั้งกะแต่เมื่อวานเย็น แล้วจึงออกไปกินข้าวที่สั่งแม่ครัวเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช็คอิน ไหนๆ มาถึงเกาะหวังจะได้กินอาหารทะเล ก็ได้กินจริงๆ แต่มาคนเดียวจะให้สั่งกุ้งเผา ปลานึงมะนาวก็ใช่เรื่อง เราเที่ยวแบบประหยัดก็มาจบที่กระเพราทะเล

เห้ยยย เบสิกเนี่ยแหละ อร่อยมากๆๆ ไม่น่าเชื่อ สำหรับค่าเสียหายก็ร้อยนึงไม่มากไม่น้อย ระหว่างนั่งกินข้าวก็ได้เจอกับคู่รักคนไทยอีกคู่ซึ่ง ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในรีสอร์ทร้างแห่งนี้ 555 ให้พออุ่นใจบ้าง  กลับมาที่ร้านอาหาร ร้านอาหารของรีสอร์ทก็ดี้ดี  วันวันนึงเค้าน่าจะขายข้าวไปไม่เกินห้าจาน แต่เค้าก็เปิดและมีของกินให้เลือกหลากหลายมาก แถมยังอร่อย แม่ครัวทำอยู่คนเดียวเนี่ยแหละ จำชื่อพี่แกไม่ได้ ไปนั่งคุยกะแกอยู่พักนึง  เป็นเรื่องปกติของช่วงนี้ที่แขกจะน้อย 

ทัวร์รอบเกาะจริงๆจังๆ

เมื่อเติมพลังเรียบร้อยผม กลับมาพักที่ห้องนอนเล่นตากพัดลมสักพัก บ่ายสองเห็นจะได้  ได้เวลาตะลุยทั่วเกาะกัน โดยรอบนี้ จะตะลุยอีกฝั่งของเกาะ ชุดพร้อม กล้องพร้อ มรถพร้อมก็ลุยกันต่อ  ผมขี่รถออกมาจากรีสอร์ทก็สังเกตเห็นรีสอร์ทตรงข้ามกับ JJ ซึ่งรีสอร์นี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกของผมตอนจอง แต่ภาพตรงหน้าคือไม่มีคนเลยน่าจะปิดชั่วคราวอยู่ ดีนะไม่จองมา 555

จุดแรกที่ผมมาคือ อ่าวเขาควาย ที่มีรูปหาดเป็นเหมือนเขาควายตามชื่อ ผมขี่เข้ามาในซอยเปลี่ยวๆ ไร้วี่แววผู้คน ต้นไม้ต้นหญ้าสองข้างทางค่อนข้างรกตาบ้าง จนมาสุดทางปูนคือชายหาด ผมจอดรถมองรอบๆ … มันยอดจริงๆ บรรยายไม่ถูก น้ำสีฟ้าถึงแม้ไม่ใสมากเพราะมีบรรดาเศษใบไม้กิ่งไม้อันเนื่องมาจากฤดูมรสุม ท้องฟ้าเวลานี้มีเมฆบ้างแต่น้อย ด้านขวามือมีหินทะลุอันเป็นเอกลักษณ์ของหาดแห่งนี้  และยังมี ต้นไม้ ที่แผ่กิ่งก้านเข้ามาในชายหาดพร้อมกับชิงช้า ที่เป็นจุดเช็คอินในกับนักท่องเที่ยว ที่สำคัญไม่มีคนเลยสักคน   โอ้วววววว สวรรค์ชัดๆๆๆ แทบอยากจะอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยเงียบสงบ สิ่งมีชีวิตที่เห็นก็จะมีแค่ครอบครัวหมา แม่กะสองลูกน้อยที่คอยวิ่งเล่นกันสนุกสนาน (รูปด้านล่างคือหลังจากมันวิ่งจนเหนื่อยแล้วนะ 555)

ณ เวลานี้ ผมนั่งชิงช้าแกว่งไปมาปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสายลมและเสียงคลื่น จนตกหลุมรักที่แห่งนี้อย่างบอกไม่ถูก มันยากเกินจะบรรยายจริงๆ นี่แหละข้อดีของการมาวันธรรมดา และนอกฤดูการ ถึงเห็น ททท พยายามโปรโมท เที่ยววันธรรมดาสุขสันต์ยิ่งนัก (มั้ง 55555)

หลังจากพยายามดึงตัวออกจากหาดเขาควายเพื่อที่จะออกแว้นต่อด้วยความยากลำบาก ผมก็พาตัวเองมายังสถานที่ถัดไป โดยจุดมุ่งหมายเวลานี้คือ หาอะไรเย็นๆ ดื่ม ซึ่งอย่างที่บอกในตอนแรกผมติดตามรายการติดเกาะของคุณเรย์เนาะ ก็ทำให้ผมทราบว่า ที่นี่มีบาร์ฮิบๆอยู่ ชื่อฮิบปี้บาร์ ผมจึงไม่พลาดที่จะไปเยือน ว่าแต่ มันไปทางไหนเนี่ยgoogle ได้แต่ปักจุดแต่ไม่มีถนนให้ขับ 555 งั้นลอง เลาะๆๆไปก่อนล่ะกัน

ผมขี่มอไซต์เรื่อยๆๆ จนมาสุดทางปูน ซึ่งหลังจากนี้คือทางดินแบบหินรุกรังพร้อมกับทางชันขึ้นเขา ผมจอดและถามพี่ๆชาวเกาะที่ไม่ได้ขายกะทิว่า  “พี่รู้จักร้านที่เป็นเหมือนเรือร้างๆ ไหมครับ”

 แน่นอนครับ ตอนนั้นผมลืมชื่อร้าน พี่เค้าก็งง บอกว่าไม่รู้จัก ผมจึงเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า แล้วแถวนี้มีอะไรน่าแวะไหมครับ  พี่ๆชาวเกาะทั้งสองจึงแนะนำว่า “ขี่ขึ้นไปเลยน้องเนี่ยหาดเนี่ยสวยสุดในเกาะแล้วชื่อหาดกวางปี๊บ”  “ขอบคุณครับ” โอ้ววว หาดอะไรชื่อแปลกยิ่งนัก

 

ผมคว้ามอไซต์เดินทางต่อ แต่ทางที่จะไปต่อจากนี้มันทรหดมาก หากใครขี่ไม่แข็งอันตรายครับ บางช่วงของทางเป็นเหว หลุดไปมีกลิ้งบาดเจ็บแน่นอน พอเข้ามาได้ครึงทางจึงนึกถึงบางรายการว่าตรงนี้เค้ามาโดยเดินมา แต่ชาวบ้านเค้าขี่มอไซค์เข้ามาได้ เอ้อ ไม่เป็นไรไหนๆๆ ก็มาแล้ว ลุยกันต่อ แต่ถ้าคนขี่ไม่แข็งแนะนำช้าๆๆ ครับ ปลอดภัย ถ้าให้เดินก็ไกลเกิ้นนนน

หลังจากผ่านช่วงวิบาก มาประมาณสองร้อยเมตรได้ก็สุดทาง โดยสุดทางที่นี่เป็นรีสอร์ทครับ เหมือนจะมีนักท่องเที่ยวมาพักแค่ หลังสองหลังเท่านั้น  ร้านอาหารของรีสอร์ทก็ปิดเช่นกัน เดินทะลุรีสอร์ทมาก็จะพบกับหาดกวางบี๊ปที่พี่ๆชาวเกาะสองท่านบอกสวยสุดในเกาะ สำหรับผมจริงครับ น้ำใสสีเขียว ลมไม่ค่อยมี แต่ผมไม่ค่อยชอบหาดที่นี่เท่าไหร่เพราะทรายออกสีแดง ผมจึงชอบอ่าวเขาควายมากกว่า แต่หาดนี้น่าจะเหมาะกับการเล่นน้ำ แต่เวลานี้ถ้าจะให้ลงน้ำไหม้แน่นอน 555  ถ่ายรูปไม่นาน ทนแดดร้อนไม่ไหว จึงควบมอไซค์ผ่านทางวิบากเพื่อตามหาร้านเรือร้างกันต่อ

ฮิปปี้บาร์ บาร์ฮิปๆๆ ตามชื่อน่ะแหละ

ในที่สุดผมก็มาถึง ร้านที่เหมือนเอาซากเศษไม้มาตอกๆๆประกอบกันเป็นร้าน ผมพบกับพี่ชาวเกาะอีกสองท่าน เอ้อที่เรียกพี่ชาวเกาะเพราะพี่ชาวเกาะที่นี่ จะนุ่งโสร่งตัวเดียวเดินไปมา ผมเจอพี่สองท่านอยู่บนหลังคากำลังตอกไม้จึงเข้าไปสอบถามว่า ร้านเปิดอยู่หรือเปล่าครับ พี่ๆจึงตอบกลับมาว่าเปิดครับ เคร งั้นเดินเข้าไปเลย ในร้าน ณ เวลานั้น ไม่มีคนเลยยยยยยยยยย  แต่ร้านแบบว่าสวยมาก แนวมาก คนชอบถ่ายรูปต้องชอบแน่ๆ พี่ๆชาวเกาะทั้งสองลงมาจากหลังคาแล้ว ทำให้ผมรู้ทีหลังว่า หนึ่งในสองนั้นคือเจ้าของร้าน 

ผมเข้าไปถามว่า พี่เจ้าของร้านว่ามีอะไรเย็นๆไหมที่ไม่มีแอลกอฮอ พี่บอกว่า พี่ไม่แนะนำพีมีแค่โค๊ก งั้นผมเอาอะไรก็ได้ตามที่พี่แนะนำละกัน ค๊อกเทลก็ได้ พี่เจ้าของจึงจัดค๊อกเทลให้หนึ่งแก้ว เพิ่มแอลกอฮอเพื่อความสดชื่น 555  ระหว่างรอก็เดินชมวิวถ่ายรูปร้าน ร้านนี้เป็นของตูจะนั่งตรงไหนๆก็ได้วะหะหะหะ ไม่ว่าตรงไหนก็แนวไปหมดชอบจริงๆ ถ้ามาเย็นๆ หรือมาปาตี้กับเพื่อนๆที่นี่คงดีไม้น้อย 

ถ่ายรูปจนสะใจก็กลับมานั่งคุยกับเจ้าของร้านและเพื่อน คุยไรไปเรื่อยเปื่อย จึงทำให้ททราบว่า บรรดาโต๊ะทที่นั่งที่นี่หาดเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวแทบไม่มีที่นั่งกันเลยทีเดียว  นั่งไม่นานก็มีนักท่องเที่ยวคู่นึงเป็นคนที่สองและสามของวันของร้าน เดินเข้ามาพูดคุย ก็คุยกันไปเรื่อย เหมือนท่านทั่งสองจะตามหาที่พักซึ่งปิดกันหมด ผมจึงแนะนำJJ ไปเผื่อว่าจะได้เพื่อนในรีสอร์ทให้อุ่นใจเพิ่มขึ้น 555 

คุยไปคุยมาพี่เจ้าของร้านก็บอกไว้มืดๆมาใหม่สิสวยนะบรรยากาศดีมานั่งฟังเพลง ผมจึงตอบไปว่าขอดูก่อนละกันครับถ้ามีโอกาสก็จะมาอีก

หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาสชิกๆ ร่างกายผมเริ่มร้อนๆอันเนื่องมาจากฤทธิ์แอลกอฮอของเครื่องดื่ม จ่ายเงินเรียบร้อย ผมก็แว้นกลับมายังที่พัก JJ เพื่อมาเดินเล่นยามเย็นที่อ่าวใหญ่แบบจริงๆ จังๆ

คืนนี้มันช่างยาวนาน

ผมกลับมาถึงหาดก็ตรงมายังหน้าหาด รีสอร์ทก็ยังเงียบไม่เห็นแขกผู้มาพักเหมือนเดิม วันนี้คงมีแขกแค่สองห้อง ห้องผมกับอีก หนึ่งคู่รัก ก่อนมาผมมะโนถึงภาพผมนั่งเล่นฟังเพลงชายหาดดู ฝรั่งเล่นน้ำในชุดบิกินนี่ แต่ฝันนั้นก็สลาย เพราะไม่มีใครเลย 5555  แต่ผมยังทำสำเร็จอย่างคือนั่งชมบรรยากาศยามเย็นของอ่าวใหญ่กับฟังเพลงไปชิลๆ ไป และแจ้งกับแม่ครัวสำหรับมื้อเย็นของผมในวันนี้ซึ่งหนีไม่พ้นข้าวผัดทะเลอาหารจานเดียว 

พูดกันเรื่องอาหารจานเดียวของที่นี่ จานละร้อยครับแต่อย่างที่บอก อร่อยดี นับว่าราคากำลังดีสำหรับอาหารทะเลบนเกาะ ระหว่างนั้นผมก็เดินเล่นบ้าง แอบดูรีสอร์ทข้างๆ ตามชายหาดต่างปิดกันหมด จึงไร้วี่แววผู้คนบนหาดมีแต่หมาเท่านั้นที่พบเจอ 5555

 

และแล้วพระอาทิตย์ก็ตก ฟ้าเริ่มมืดแสงที่มีกลายเป็นแสงจากหลอดไฟแทน ผมกินข้าวเรียบร้อยก็กลับมาที่ห้องเพื่ออาบน้ำ ไม่นานฟ้าเริ่มร้องละฝนก็ตก แผนที่จะขี่รถกลับไปที่ฮิปปี้บาร์จึงล้มไป สำหรับวันนี้จึงหมดแค่นี้ มองซ้ายมองขวา ไม่มีคนเลย บังกะโลติดๆๆกับต่างมือสนิท เอาละวะนอนคนเดียว ไม่รู้ว่าอีกห้องน่าจะอยู่บังกะโลถัดๆๆ ไปซึ่งก็จริง ผมเป็นคนเดียวห้องเดียวที่อยู่ใกล้หาด อีกห้องอยู่ลึกเข้าไป

อากาศคืนนี้ไม่ร้อนครับเปิดพัดลมไปนอนฟังเพลงไป ทีวีไม่มีนะครับที่นี่เป็นน่าจะเป็นไฟปั่นแลดูไฟไม่เพียงพอ มีตกๆๆให้หลอนๆ ไปบ้าง

นอนสักพักไฟดับ วู๊บบบ ทุกอย่างมืดมิด “เ_ี๊ย..เว้ยๆๆๆ  เอาแล้วไง” ผมได้อุทานในใจ  ผมเลยต้องคว้าเอาพัดลมมือถือกับเปิดไฟจากโทรศัพท์ เพื่อเพิ่มแสงสว่างให้อยู่เป็นเพื่อน ไม่นานไฟถึงกลับมา

สี่ทุ่มก็แล้ว ห้าทุ่มก็แล้วทั้งที่เมื่อคืนขับรถมาทั้งคืน ผมได้แค่หลับๆตื่นๆ ได้ยินเสียงนู้นนี่นั้นรอบๆ และไม้พ้นเสียงที่ได้ยินเหมือนคนเดินที่ระเบียงหน้าบังกะโลแต่ไม่คิดไรมากแค่หลับๆตื่นๆกันไปยันเช้าาาาาาาาาา

ผมหลับๆ ตื่นๆยันตีห้า เสียงที่ระเบียงก็ยังไม่หายไปยังคงมีเสียงให้ได้ยินเรื่อยๆ จนต้องลุกมาเปิดประตูดู อีกแล้วครับ หมาประจำรีสอร์ทมานอนเป็นเพื่อนหน้าประะตู เอิ่มมม จะมาก็ไม่บอก หลอกให้หลอนทั้งคืน  

กลับขึ้นฝั่ง

เช้าวันใหม่ อาจจะดูไม่สดชื่นนักสำหรับผม อันเนื่องมาจากเมื่อคืนผมหลับๆตื่นๆ มื้อเช้านี้ก็ไม่พ้น  ร้านอาหารของรีสอร์ทครับ ผมสั่งข้าวต้มปลาแม่ครัวท่านเดิมก็ยังรักษามาตฐานไว้เช่นเดิม วันๆนึงเค้าขายได้กี่จานเองนะ ดูจากที่จะมีแค่แขกที่พักเท่านั้นที่สั่งข้าวกับร้าน ไม่มีคนนอกมาทานเลย

ระหว่างทานข้าวผมก็รู้จักกับหมาสองตัวหนึ่งในสองคือตัวเดียวกับที่นอนเ้าหน้าห้องผม(บนเกาะนี้หมามันช่างเยอะจิง) เมื่อผมทานข้าวเสร็จผมขี่มอไซต์กลับเข้าไปยังชุมชนเพื่อหาขนมและผมก็ได้ขนมกลับมาให้เจ้าหมาทั้งสอง เพื่อเป็นการขอคุณที่เมื่อคืนมานอนเป็นเพื่อนนั้นเอง(คราวหน้าจะมาก็ส่งเสียงบอกหน่อยนะอย่าให้หลอนทั้งคืน 555)

ผมอาบน้ำอาบท่าเก็บของ รีบไปยังบริเวณท่าเรือเพราะวันนี้ ผมจองตั๋วกลับฝั่งแต่เช้า แต่ก่อนไปถึงท่าเรือผมขอแวะที่อ่าวเขาความอีกครั้งเพราะ ที่นี่ขึ้นชื่อว่าจะได้เห็นนกเงือกตามธรรมชาติมาก เสียดายเวลาเดินหาน้อย สุดท้ายจึงไม่เจอสักตัว ผมเลยขี่รถกลับมาบริเวณท่าเรือ

จัดแจงคืนมอไซค์เสียค่าน้ำมันอีกสี่สิบ ไปนั่งรอเรือ speed boat มารับกลับฝั่ง เหมือนเดิมวันนี้ลูกค้าก็ยังโหลงเหลง บ๊ายบายเกาะพยาม ขอบคุณที่ให้ประสบการณ์ดีๆ ไว้มีโอกาสสัญญาว่าจะกลับมาเยือนอีกครั้ง 

จบแล้วกับ Part แรก ไว้กลับมาต่อ Part หลัง ขอแบ่งเป็นสองpart จะได้ไม่ยาวจนเกินไป ขอบคุณที่อ่านกันจนจบครับ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เจอกันใน Part หลังนะครับ ^^

ปล ขอบคุณนายแบบด้านบนด้วยครับท่าเท่เจรงๆๆ

 

 

2 Day 1 Night เส้นทาง Rokko-san+Arima Onsen

Rokko-san + Arima Onsen
7-8/12/2017

เกริ่นนำ

หลังจากบทความทริปท่องเที่ยวคันไซเมื่อต้นปี ผมได้มีโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้ง โดยรีวิวครั้งนี้มจะขอเรียกมินิรีวิวดีกว่า เพราะรอบเป็นเหมือนส่วนต่อขยายจากครั้งก่อน แต่เป็นการเดินทางอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ ผมได้พาครอบครัวร่วมทริปไปด้วย และเล็งเห็นว่า รีวิวเส้นทางภูเขา Rokko+ Arima มีน้อยและเก่า แต่ในความรู้สึกส่วนตัวรู้สึกว่าน่าสนใจมาก เพราะอะไรมาดูเหตุผลของผมกัน

  •  ระยะไม่ไกลจากโอซาก้า(ซึ่งมีเที่ยวบินเยอะมากกจากไทย)เดินทางไปกลับหรือมาพักสักคืนยังได้
  • สัมผัสลานสกีกลางแจ้งไม่ไกลจากโอซาก้า(หน้าหนาว) 
  • มีความหลากหลายในการเดินทาง ทั้ง รถเมล์ /Cable car /Rope way/รถไฟ ทริปเดียวสัมผัสครบทุกรสชาติ 555
  • ไม่ใช่เส้นทางของทัวร์ คนจึงน้อยย สงบดี  
  • เที่ยวได้ทุกฤดูกาลเลยยยย เช่น ใบไม้เปลี่ยนสีฤดูใบไม้ร่วง ,ซากุระฤดูใบไม้ผลิ
  • วิวสวยสัมผัสธรรมชาติใกล้ๆ เมือง

เป็นไงล่ะ สารพัดเหตุผล ทำให้เกิดบทความนี้ขึ้น เพราะอยากให้เป็นข้อมูลเพื่อให้เพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ได้ตามรอยกัน

การเตรียมตัว

ก่อนอื่นเลยการเดินทางบนภูเขา Rokko ถ้าจะให้ประหยัด สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ เค้ามี 1-day Pass ให้บริการครับ แต่หาซื้อหน้างานไม่ได้นะครับ เราต้องซื้อก่อน ผมแนะนำว่า ซื้อที่สนามบินเลยที่ KANSAI TOURIST INFORMATION CENTER ตรงใกล้ๆ ทางออกก่อนขึ้นรถไฟ ในราคา 1000 เยน

เพื่อนๆคงมีคำถามว่า แล้วพาสนี้ใช้ทำไรได้บ้าง งั้นมาดูกัน Pass นี้ประกอบด้วย
1. ตั๋วรถเมล Kobe City Bus สาย 16 ไป-กลับ
2. ตั๋วรถ Cable Car ไป-กลับ
3. ตั๋วรถวนด้านบนภูเขา Rokko Sanjo Bus ไม่จำกัด
4. ใช้เป็นส่วนลดเข้าสถานที่ต่างๆ

ซึ่งหากซื้อแยกจะค่อนข้างแพง ทั้งนี้ Pass จะจำหน่ายเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น และจะต้องใช้ Passport ในการซื้อด้วยครับ
ข้อมูลอื่นๆของ Pass https://www.rokkosan.com/en/pass/

สรุปการเดินทางคร่าวๆ
รถไฟจาก Osaka > ลงสถานี MIKAGE > รถเมล์ Kobe City Car 16 > Cable Car > รถวน Rokko Sanjo Bus > Arima Ropeway > รถไฟกลับโอซาก้า

*สีส้มคือส่วนที่ใช้ pass ได้

ออกเดินทาง

การเดินทางรอบนี้ผมเริ่มต้นที่แถว Numba แนะนำให้ออกเช้าหน่อย หาอะไรกินก่อนขึ้นรถไฟ จะได้ไม่หิว เพราะ การเดินทางช่วงแรกค่อนข้างไกลทีเดียว
การเดินทางช่วงแรกจะเดินทางด้วนรถไฟเอกชนซึ่งผมใช้บัตร KTP ไม่จำกัดอยู่แล้ว ไปได้สองสถานีคือ ROKKO(HANKYU) และ MIKAGE(HANSHIN) หรือหากใครถนัดสาย JR ก็ให้นั่งไปลงที่สถานี Rokkōmichi

ผมเลือกขึ้นรถไฟที่สถานี KINTETSU NIPPOMBASHI เพื่อที่จะนั่งไปลง MIKAGE(HANSHIN) จาก KINTETSU NIPPOMBASHI นั่งรถไฟ Local ป้ายสีดำ(หรือสายอื่นเช็คตารางอีกที) ไปลงที่ AMAGASAKI แล้วต่อ Rapit Express สีแดง ที่มาจาก Umeda ไปลง MIKAGE(HANSHIN) ตรงนี้ ย้ำนะครับสีแดงอย่าขึ้นผิดแบบผม สีน้ำเงินที่มาจากนารามานไม่จอด MIKAGE จึงเลยไปยาวววววว ได้นั่งย้อนกลับเสียเวลาไปอีก 55555

ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์อ่ะเนาะใครมาถึงญี่ปุ่นแล้วนั่งรถไฟไม่หลง ไม่เลยนี่ถือว่ามาไม่ถึงจริงๆนะ 5555 สำหรับใครอยากวางแผนการเดินทางก็เชิญเว็บเดิมครับ
http://www.hyperdia.com/en

เมื่อถึงสถานี MIKAGE แล้ว บรรยากาศสถานีนี้เป็นสถานีรถไฟเล็กๆ(ในเมืองเล็กๆ) เดินออกมาด้านหน้า มองไปทิศเหนือ จะพบป้ายรถเมล Kobe City Bus สาย 16 จอดอยู่(ออกมาแล้วตามรูปด้านล่างครับ) ซึ่งเหตุผลที่เลือกที่นี่เพราะเป็นต้นสาย ของสาย 16 ผมรอช้า เห็นรถแล้วก็ขึ้นสิครับ โดยรถเมลที่นี่ขึ้นตรงกลาง(หรือด้านหลัง) ลงด้านหน้าครับ 

ภาพจาก street view

จับจองที่นั่งเสร็จ ไม่นานรถก็จะออก รถเมล์สาย 16 ก็จะเดินทางผ่าน ทั้ง JR Rokkōmichi และ ROKKO(HANKYU) โดยระหว่างทาง ก็จะเห็น บ้านเรือน ขนาดไม่สูงมาก ซึ่งเขตแถบๆนี้จะอยู่เชิงเขา ทางจะชันๆ บ้าง ยิ่งไปไกลเรื่อยๆ มองกลับไปก็จะเห็นวิวเมืองจนไปถึงอ่าว

อีกทั้งรถเมล์สายนี้จะพบว่า มีหนุ่มสาวใช้บริการค่อนข้างมากซึ่ง ตอนแรกก็แอบแปลกใจ จนใกล้ถึงปลายทางพบว่า คนลงที่ป้ายนี้กันเกือบทั้งคัน เราก็เกือบจะลงตาม(สาวๆเยอะ) หันไปเจอป้าย Univercity นี่เอง (แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร) ถึงว่า สาวๆเยอะ นึกถึงการ์ตูนชินจังตอนไปเที่ยวเขากับปู่ ที่ขึ้นรถผิดไปขึ้นรถทัศนศึกษามหาลัยแทน 55555

นั่งรถเมลมาจนสุดทางป้ายสุดท้าย คนน้อยมากกกกกกก คร่าวๆว่า เหลืออยู่บ้านผมกับนักท่องเที่ยว คนหรือสองคน อ้อ!! ตอนลงอย่าลืมฉีกตั๋วใน Pass แล้วให้เค้าดูก่อนหย่อนลงกล่องด้วยนะครับ โดยเริ่มฉีกจากปลายก่อน

Rokko Cable Car
หลังจากลงรถเมล์สาย 16 แล้ว เรามายืนอยู่หน้า Rokko Cable Shita Station ซึ่งเวลาที่ผมมาถึงวันธรรมดา ช่วงสายๆ ประมาณ 9.30 รู้สึกคนร้างมาก เดินเข้ามาสถานีสักพัก รถ Cable Car มาถึงพอดี ลักษณะเหมือนรถรางบ้านเราหน่ะแหละ ที่นั่งเป็นชั้นๆ ตามความลาดชันของเขา

ก่อนขึ้นนั่งเรามาดูข้อมูลคร่าวๆ ยานพาหนะของเราก่อน เจ้า Rokko Cable Car เนี่ย เปิดให้บริการครั้งแรกในปี1932 เชื่อมต่อระหว่างสถานี Rokko Cable Shita ที่ตั้งอยู่เชิงเขา Rokko และสถานี Rokko Sanjo ด้านบน มีระยทางประมาณ 1.7 กิโลเมตร โดยความสูงระหว่างสองที่นี้แตกต่างกันถึง 493.3เมตร

ระหว่างที่รอเวลาออก จะมีมุมให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ไม่ใช่ธรรมดา มีพร๊อบให้แต่งตัวด้วยตาม Concept ช่วงนั้นๆ เช่นผมมาช่วงธันวา นอกจากหมวกและชุดของเจ้าหน้าที่สถานีแล้วยังมี หมวกคริสต์มาสให้ใส่ถ่ายรูปอีกด้วย อีกทั้งเจ้าหน้าที่สถานีก็จะแต่งตัวเข้าใส่หมวกคริสต์มาสเหมือนกัน

เมื่อรถใกล้เวลา นาย(หรือนางสาว)สถานีจะเริ่มเรียกผู้คน เราก็จัดการฉีกตั๋วใบต่อมาของ Pass ยื่นให้เค้าแทนตั๋ว เดินขึ้นมาบนรถจับจองหาที่นั่งสบายๆ เพราะคนไม่เยอะ โดยตู้แรกที่ผมเลือกนั่งนั้นจะเป็นแบบ Open Air และเปิดหลังคา O_O หรือถ้าร้อนหรือหนาว สามารถเข้าไปตู้อื่นที่เป็นกระจกได้

Cable Car ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที ระหว่างทาง จะเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของภูเขา Rokko ซึ่งช่วงที่ผมมาเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่ยังมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นอยู่บ้างโดยเฉพาะ ใบเมเปิ้ลจิ๋ว แต่ถ้ามาในช่วง ฤดูใบไม้ผลิก็อาจจะได้สัมผัสกับทุ่งซากุระแทน นอกจากเหล่าพันธุ์พืชให้ชมตลอดทาง เราสามารถมองวิวเมืองโกเบในมุมสูงและ เสียวอีกด้วย ก็เล่นทางขึ้นมันชันเอาๆ นี่ถ้าปล่อยตามแรงโน้มถ่วงยิ่งกว่ารถไฟเหาะแน่นอนนนน แนะนำใครชอบความท้าทาย นั่งด้านหน้าสุดครับ ฮ่าๆๆ

เมื่อ Cable Car มาถึง สถานี Rokko Sanjo ภายในสถานีจะมีแผนที่และเจ้าหน้าที่คอยแนะนำอยากรู้อะไรถามได้(ถ้าคุยรู้เรื่องนะ) ในส่วนของสถานี Rokko Sanjo นี้อาจจะดูเก่าๆ ก็เนื่องจากว่ามีการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่ตกแต่งมาตั้งแต่ก่อสร้าง อีกทั้งบนจุดชมวิวของสถานีสามารถมองเห็นวิวที่ราบโอซาก้ารวมทั้งสนามบินคันไซอีกด้วย

ด้านนอกสถานี อากาศบนนี้ค่อนข้างหนาวววววววมากกกกกกกก ใกล้ๆทางออก จะมีจุดจอดรถบัสอยู่สองสาย สำหรับเราที่จะไปเที่ยวบริเวณ ภูเขา Rokko จะใช้บริการ Rokko Sanjo Bus สีแดงเขียวซึ่งจะจอดด้านหน้าตรงนั้นแหละ ช่วงเวลาที่ผมไปถึงมีรถเมลออกไปคันนึงพอดี จึงต้องรออีกพักใหญ่ๆ กว่าคันถัดไปจะออก ระหว่างนั้นก็หาข้อมูลว่าจะเที่ยวที่ไหนดี และตามด้วยชาอุ่นๆ จากตู้กดช่วยบรรเทาความหนาว

Rokko Sanjo Bus
การมาเที่ยว Rokko นั้นการเดินทางรอบๆบริเวณส่วนใหญ่ของหนีไม่พ้น Rokko Sanjo Bus เจ้ารถ Bus นี้ จะวิ่งวน รับส่งสถานที่เที่ยวต่างๆ บนเขตภูเขา Rokko ซึ่งสามารถดูได้จากแผนที่ด้านล่าง

ในแต่ละฤดูบางสถานที่อาจจะมีเปิดหรือปิดเราจะต้องเช็คดีๆก่อน สำหรับผมแล้ว การมาเที่ยว Rokko ฤดูหนาวนั้น หลายสถานที่ก็จะปิด ผมตั้งใจว่า จะมาสัมผัสหิมะที่ลานสกีที่ Rokko Snow Park , พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีนานาชาติ และ Rokko Garden Terrace แต่จนแล้วจนรอด พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ปิดปรับปรุง ทำให้เหลือเพียง Rokko Snow Park และ Rokko Garden Terrace

สำหรับเพื่อนๆท่านไหนที่อยากเช็คสถานที่ท่องเที่ยวสามารถเช็คได้ที่ https://www.rokkosan.com/en/pass/

หลังจากทนความหนาวด้านนอกไม่ไหว(แม้ยืนตากแดด) ผมและครอบครัวก็ขึ้นมารอบนรถ Bus รถที่นี่ออกตรงเวลาเป๊ะครับ ก่อนออก ก็มีผู้โดยสารมาจนเกือบเต็ม
เมื่อรถออกแล้ว ให้เราสังเกตุแผนที่ และป้ายไฟหน้ารถ จะทำให้ทราบว่าเราจะลงที่ป้ายไหน

Rokko Snow Park
สำหรับเป้าหมายแรกของเราบนภูเขา Rokko ในหน้าหนาวนี้ คือ แท่น แทน แท้นนนนน Rokko Snow Park ด้วยครอบครัวผมเอไม่เคยสัมผัสบรรยากาศ หิมะ ลานสกี อีกทั้งพ่อและแม่อาจจะทนความหนาวของหน้าหิมะจริงๆไม่ไหว ผมจึงเลือกที่นี่เป็นอีกจุดหมายหนึ่งเพื่อมาสัมผัส โดยปกติแล้ว ภูมิภาคนี้ อยู่ฝั่งทะเลแปซิฟิก หิมะไม่ค่อยตก ปีปีนึงอาจจะตกไม่ถึงสัปดาห์ แต่บนภูเขา Rokko ก็มีบ้างเยอะกว่านั้น แต่ด้วยความที่มาก่อน อาจจะยังพึ่งเข้าหนาวหนาว จึงยังไม่มีหิมะตกให้เห็น(พยากรณ์บอกว่า วันสองวันก็จะตก) แต่ที่ Rokko Snow Park นี้ มีเครื่องผลิตหิมะ แล้วเอามาถมเพื่อเล่นสกีกัน เพราะที่นี่ถึงแม้หิมะยังไม่ตก แต่ความหนาวอย่าบอกใคร เฉียดๆกับ 0 องศาทำให้ หิมะยังคงรูปได้

 

เมื่อมาถึงก็จัดแจงซื้อบัตรเข้าซึ่งไม่ไม่ได้รวมกับตัว Pass โดยค่าเข้าอยู่ที่ 1600 เยน (ใช้ pass ลดจาก 2100 เยน) และหากใครไม่มีอุปกรณ์ ที่นี่ยังมีบรีการเช่าอุปกรณ์ซึ่งพูดตรงๆ ว่าแพงเอาเรื่องเหมือนกัน ผมจึงเลือกเช่า Sled ซึ่งราคาถูกที่สุด ไม่ต้องใช้ถุงเท้าถุงมือ ขอเล่นแบบเด็กๆเนี่ยแหละ โดยจะต้องมัดจำอีก 1000 เยน เมื่อนำมาคืนจะได้ตั๋วเพื่อมารับเงินคือที่ช่องจำหน่ายตั๋ว

ตัวอย่างราคาเช่าอุปกรณ์ https://www.rokkosan.com/en/images/ski/ski_rental.pdf 

อ้อ!! เกือบลืมก่อนเข้าด้านในแวะป้ายรถ Bus เพื่อเช็คเวลาที่รถมารับด้วยนะครับ ผมพลาดตรงที่ไม่ได้เช็ค ตอนออกมารอ จึงเสียเวลารอนานมากกว่ารถจะมา

เข้ามาด้านใน ที่นี่นั้นจะแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ ลานสกีสำหรับผู้ช่ำชอง สำหรับเล่นสกีและสโนวบอร์ดเท่านั้น อีกส่วนนึงก็คือ Snow ส่วนนี้เหมือนมีไว้สำหรับเด็กๆ และผม 555 เจ้า Sled ที่เช่านี่ จะต้องไปที่รับที่แผนกอุปกรณ์ แล้วนำมาเล่นที่นี่ เนินที่นี่จะระยะชันน้อยกว่าและระยะทางไม่ไกลนัก เหมาะกับเด็กๆ อย่างผมฮ่าๆๆๆ เอาหน่ามือใหม่ ขอลองหน่อย ค่าเช่นอุปกรณ์สกีก็แพงเหลือหลายเล่นอันนี้พอ 555

รอบแรกเลย ยอมรับตรงๆว่าเบรกไม่เป็น ทำเอาเกือบหลุดลงเขา รอบสองรอบสามจับทิศทางได้ ใช้เท้าชะลอความเร็วก่อน แต่นั้น รองเท้าเราไม่ใช่รองเท้าสำหรับตะลุยหิมะครับ หิมะเข้าไปด้านในทำเอาทั้งเปียกทั้งเย็นเลย

ใกล้ๆกันกับส่วนที่ไว้เล่น sled ก็จะมีลานหิมะ ไว้ให้เด็กๆที่เบื่อหิมะมาปั้นตุ๊กตาหิมะกัน จะเหลือหรอครับ ด้วยความที่ไม่เคยเล่น ขอลองเล่นบ้าง ทั้งนี้ ควรใส่ถุงมือมาด้วยไม่กันมือท่านจะเย็นจนแดงเลยทีเดียว

หลังจากสนุกกับการถ่ายรูปและเล่น sled ผมได้นำอุปกรณ์ไปคืนและจะได้ คูปองสำหรับขอเงินมัดจำคืนที่ด้านนอก ก่อนออกได้มีการแวะถ่ายรูปคนเล่นสกีสักหน่อย ขณะก้าวขึ้นไปลานสกีรองทันได้นั้นเอง ผลั๊ว ลื่นครับ หัวฟาดกล้องโดนปูดเป็นลูกมะนาวแป้นเลย 5555 เลือดซิบๆอีก มึนเลย ดีกล้องไม่เป็นไร คงด้วยความห่วงกล้องยกกล้องขึ้นก่อน หัวจึงคะมำไปโขกเข้ากับกล้อง ทั้งนี้ท่านไหนที่มาลานสกีหากไม่ได้เช่ารองเท้า ใส่รองเท้าผ้าใบธรรมดามาจงระวัง !!!!

ออกมาด้านนอก ต้องใช้เวลาอีกนานเลย กว่ารถจะมา และต้องมองป้ายดีๆ ตรงนี้จะมีสองป้ายข้างๆกันคือ ขาไปและขากลับ อาศัยมองลูกศรว่าป้ายต่อไปของเราคือที่ไหน จึงไปรอตรงนั้น รถ Bus จะมาจอดตรงป้ายพอดี

Rokko Garden Terrace
หลังจากมาถึงป้าย Rokko Garden Terrace ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจาก Rokko snow park ที่นี่บรรยากาศเงียบเหงา ทั้งๆที่มีหลายจุดให้ชมวิวและถ่ายรูป ประวัติศาตร์จะไม่ซ้ำรอย เมื่อผมมาถึง รีบไปดูป้ายรถเมลขากลับเพื่อเช็คตารางเวลาทันที

ที่นี่เปรียบเสมือนจุดท่องเที่ยวหลักจุดหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นมาชมบรรยากาศหมู่บ้านสไตล์ตะวันตก และมองเห็นเมืองโกเบด้านล่าง ยังมีหอคอยขึ้นไปถ่ายรูปและชมวิวมุมสูงอีกด้วย และหากมาในเวลากลางคืนจะเห็นไฟเมืองสวยไปอีกแบบ(ดูจากรูปเอา) สำหรับทริปนี้ผมเลือกขึ้นมาหาอาหารกลางวันที่นี่ ซึ่งมีประมาณสามสี่ร้าน ข้างๆร้านอาหารก็มีร้านของฝากสามารถเลือกซื้อของฝากกันได้ กลับมาที่ร้านอาหาร ร้านที่นี่มักจะเป็นแบบเครื่องสั่งโดยเราจะต้องไปกดที่เครื่องหรือตู้ หยอดเหรียญใส่ธนบัตร แล้วกดปุ่มเลือกเมนู จึงจะได้บัตรเพื่อนำไปให้พนักงานที่เค้าเตอร์ แต่ที่ยากเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นจ้าา ดีพนักงานมาช่วยแนะนำ มื้อนี้จึงไม่อดตาย

เมนูที่นี่ที่น่าสนใจ(สั่งตามโต๊ะข้างๆ)คือ ทาโกะยากิยักษ์ ทาโกะยากิไส้ปลาหมึกที่ใส่ปลาหมึกยักษ์ทั้งตัว รสชาติอร่อย และเส้นโซบะ+เต้าหู้ก็รสชาติดีไม่แพ้กัน

Rokko-Arima Ropeway

หลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงเรียบร้อยถึงคราวที่เราจะต้องไปต่อ ผมกลับมายังป้ายรถเมล เพื่อรอรถบัสเดินทางต่อไปยังป้ายถัดไปซึ่งเป็นป้ายสุดท้ายนั้นคือ สถานี Ropeway ชื่อ Rokko Sancho Station ว่าแต่เอ๊ะ Ropeway นี่มันคืออะไร เมืองไทยไม่มี มันต่างจก Cable Car ไหม Ropeway ในภาษาไทยคือกระเช้าไฟฟ้า ก็แบบห้อยๆๆ อ่ะ เหมือนกระเช้านองปิงที่ฮ่องกง แต่ฮ่องกงเรียก Cable Car เอากะเค้าสิอาจจะสับสนกันไป เอาเป็นว่าที่ญี่ปุ่นกระเช้าคือ Ropeway ส่วนเจ้า Cable Car คือรถรางที่ใช้สาย Cable ดึง 555

นั่งรถบัสยังไม่ทันตูดร้อน(จริงๆเดินมาก็ได้นะ) ก็มาถึง Rokko Sancho Station ซึ่งเป็นสถานีฝั่ง Rokko ซึ่งเราจะเห็นฟันเฟืองขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์ด้านหน้า


เมื่อเข้ามาด้านในของสถานี เราจะต้องซื้อตั๋ว Ropeway ซึ่งไม่ได้รวมใน Pass เราสามารถใช้ pass ลดราคาอีกเช่นเคย ค่า Ropeway แบบ one way เหลือ 810 เยน หลังจากนั้นระหว่างรอ ด้านในมีห้องสำหรับผู้โดยสารมีฮีทเตอร์อุ่นๆพร้อมกับฉายสารคดีท่องเที่ยว Rokko ส่วนด้านนอกยังมีพิพิธภัณฑ์ย่อมๆ ให้ความรู้อีกด้วย รอเพลินๆ เจ้าหน้าที่ก็มาประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นกระเช้า โดยจะเป็นกระเช้าที่มาจาก Arima ที่มาถึงไม่นานก่อนหน้านี้

Rokko-Arima Ropeway ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1969 เชื่อมต่อระหว่างยอดเขา Rokko ถึงเมือง Arima Onsen ซึ่งอยู่อีกฝากของเมืองโกเบ ตัวกระเช้ามีขนาดใหญ่ จุผู้โดยสารได้ น่าจะประมาณ 20 คน และขณะเดินทางจะมีพนักงานไปกับเราด้วย โดยกระเช้านี้ไม่ได้ใช้แค่โดยสาร ยังใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกด้วย จึงมีการบรรยายจากพนักงานตลอดการเดินทางแต่เป็นภาษาญี่ปุ่นนะ เราจึงหมดสิทธิ์เข้าใจ(ถึงแม้ถ้าบรรยายอังกฤษมาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี 555) นอกจากนั้นจะเห็นวิวทิวทัศน์ อีกฝากของเทือกเขา Rokko ซึ่งใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 12 นาที

Arima onsen
เมื่อมาถึง Arima Onsen Ropeway Station บรรยากาศยิ่งเงียบเหงา มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยกันใช้วิธีการเดินเข้าเมือง อีกวิธีคือโทรเรียกรถโรงแรมมารับ นอกจากนี้ที่ทราบมา จะมีรถวนนะ แต่ไม่รู้รอนานแค่ไหน ผมเลือกที่จะโทรหาโรงแรม เพื่อเข้าไปยังเมือง Arima ซึ่งอยู่ห่างจากสถานี Ropeway ประมาณ 1.1 กิโลเมตร

 

ไหนๆ ก็มาถึง Arima onsen ขอเล่าเรื่องเมือง arima หน่อย Arima Onsen (有馬温泉) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงภายในเขต Kobe อยู่ถัดจากเขา Rokko ไปทางตอนเหนือของเมือง เมืองนี้ตั้งอยู่ในเทือกเขาธรรมชาติ ระยะทางไม่ไกลมาก ทำให้สามารถเดินทางไปกลับในวันเดียวหรือจะไปนอนพักในวันเสาร์อาทิตย์ได้

Arima Onsen มีประวัติยาวนานกว่า 1000 ปี ถือเป็นหนึ่งในน้ำพุร้อนที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ว่ากันว่ารู้จักครั้งแรกจากจักรพรรดิ์องค์หนึ่งของญี่ปุ่นได้มาแช่น้ำแร่ที่นี่ โดยเมือง Arima จะมีน้ำพุร้อนสองแบบ แบบแรกคือ Kinsen หรือ น้ำแร่สีทอง เป็นสีน้ำตาลที่มีแหล่งสะสมเหล็ก มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวพรรณ รบรรเทาอาการภูมิแพ้ ผื่นคัน และช่วยในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ ส่วนอีกแบบคือ Ginsen น้ำแร่สีเงิน ประกอบด้วยเรเดียมและคาร์บอเนตและช่วยในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิต และอาการร่วมต่างๆ

หากใครที่มา Arima Onsen แบบไปเช้าเย็นกลับ สามารถเลือกแช่น้ำแร่ แบบบ่อสาธารณะได้ โดยจะมีบ่อน้ำร้อนสาธารณะจำนวน 2 บ่อคือ Kin no yu ที่เป็นน้ำแร่สีทอง สนนราคา 650 เยน และ Gin no yu
น้ำแร่สีเงิน ราคา 550 เยน หรือจะเหมาสองบ่อในราคา 850 เยนก็ได้

ครั้งก่อนที่ผมมาผมก็ม่แช่ที่ Gin no yu ซึ่งอาจจะเดินมาไกลหน่อยจากสถานี แต่ไม่ได้แช่ที่ Kin no yu แต่สำหรับครั้งนี้ผมได้จองโรงแรมซึ่งเป็นที่พักแบบเรียวกัง หรือ โรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นโบราณซึ่งถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางของวันนี้

*รูปเมือง Arima ถ่ายจากเมื่อครั้งก่อน

 

Negiya Traditional Japanese Spa
สำหรับเรียวกังเนกิยะ การมาพักในครั้งนี้เพื่อเปิดประสบการณใหม่ๆนี้ ค่าใช้จ่ายที่พักค่อนข้างแพงกว่าโรงแรมธรรมดา อีกทั้งยังอยู่ในเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกด้วย เมื่อตีเป็นเงินไทยตกคนละประมาณ 3500 บาท รวมอาหารเช้า หากรวมอาหารเย็นเข้าไปด้วยก็จะขึ้นกับ set ที่สั่ง โดยจะตกประมาณคนละ 5000 บาทต่อคืน !!

นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของผมที่ได้พักแบบเรียวกัง หลังจากลงจากรถที่ รร.ส่งไปรับที่สถานี Ropeway สัมผัสแห่งการบริการเริ่มต้นขึ้น (จริงๆมันเริ่มตั้งแต่ลุงโชเฟอร์แกมารับและ) ลุงโชเฟอร์หลังจากจอดรถ แกจะเดินนำมาเปิดประตู รร. ด้านในจะพบกับพนักงานสองสามคน คอยต้อนรับลูกค้า

เมื่อไปถึงแล้ว เราจะต้องถอดรองเท้า เพื่อเปลี่ยนเป็นรองเท้าสลิปเปอร์แบบญี่ปุ่น ส่วนรองเท้าของเราจะมีพนักงานนำไปเก็บในตู้ให้(ตรงนี้เราไม่สามารถหยิบเข้าออกเองได้ต้องให้พนักงานหยิบให้เสมอ)

หลังจากเก็บรองเท้าเรียบร้อยแล้ว เราก็ดำเนินการเช็คอินกับพนักงานที่หน้าเค้าเตอร์ ซึ่งก็จะมีการขอเอกสารตามปกติ จากนั้นจะมีพนักงานนำเราไปยังห้องพัก ซึ่งห้องพักของผมอยู่อีกตึกนึง ในโรงแรมจะตกแต่งเป็นแบบเรียวกังแท้ๆ พนักงานหลายคนจะใส่ชุดที่เป็นชุดญี่ปุ่นเองคล้ายๆ ชุดกิโมโนแต่เครื่องจะดูไม่เยอะเท่า พร้อมกับคำทักทายภาษาญี่ปุ่นทุกครั้งที่เจอ

 

ก่อนไปถึงห้องนอน พนักงานท่านนั้นได้พาไปแนะนำ ห้องอาหารรวมถึงบ่อแช่ออนเซ็นซึ่งของ โรงแรมนี้จะมีสองบ่อ แยกชายหญิง โดยทั้งสองบ่อต้องสังเกตุสีป้ายด้านหน้าว่าเป็นเวลาของชายหรือหญิง เอาง่ายๆ ว่าบ่อ A ชายช่วงเช้าหญิงช่วงเย็น บ่อ B หญิงช่วงเช้า ชายช่วงเย็น ดังนั้น หากจะแช่ทั้งสองบ่อ ต้องมาสองรอบนะจ๊ะ คือตอนเย็นกับตอนเช้า

หลังจากแนะนำบ่อออนเซ็นเรียบร้อย เค้าก็พาเรามายังห้อง ห้องของเราเป็นห้องแบบญี่ปุ่น มีชานบ้านสำหรับถอดรองเท้าอีกรอบ ห้องน้ำจะอยู่ซ้ายมือ เปิดประตูเข้าไปอีกชั้นจะเป็นห้องหลัก ทันที่ที่เปิดห้องเข้าไปจะได้กลิ่มใบหญ้าแห้งหอมๆ ซึ่งน่าจะเป็นกลิ่นเฉพาะของเสื่อ Tatami ซึ่งเป็นเสื่อดั้งเดิมที่คนญี่ปุ่นมักนำมารองพื้น ผมชอบนะพราะให้ความรู้สึกดีและอุ่น

กวาดตาไปรอบๆมีการจัดโต๊ะรองรับพวกเราไว้ พนักงานท่านนั้นเชิญพวกเรานั่งและจัดพิธีชงชาย่อมๆ ขึ้น แล้วก็อธิบายรายละเอียดให้เราฟังเช่น การใช้บ่อออนเซ็น การสวมชุดยูกาตะ เวลาที่ต้องการให้พนักงานมาปูที่นอน ซึ่งก็นอนกันห้องหลักเนี่ยแหละ

ด้านในยังมีห้อง ห้องคล้ายกับระเบียงแต่อยู่ภายในอาคารอีกห้อง มีโต๊ะเเก้าอี้นั่งชิวมองวิว กั้นด้วยประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ตัวบานทำมาจากกระดาษสาแบบที่ การ์ตูนญี่ปุ่นชอบเจาะรูกัน

กลับมาที่พนักงานแนะนำ ซึ่งทำให้ผมแปลกใจคือพนักงานค่อนข้างเป็นมิตร แนะนำอะไรต่างๆดี แถมคำบางคำภาษาไทยยังฟังเข้าใจ เกิดความสงสัยขึ้น จึงได้ถามเค้าไป ได้ความคร่าวๆว่า เค้าเป็นคนนึงที่ชอบดูทีวีไทย อย่างญาญ่ากับนเดชเค้ารู้จัก (นี่!! ละครไทยก็ดังไม่ใช่น้อย ขนาดเมืองเล็กๆ ยังมีคนรู้จัก)

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีปฐมนิเทศ(ฮ่าๆๆๆ) เราก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ก่อนจะลงไปหาอะไรกินในเมือง arima ซึ่งต้องเดินจากที่พักไป 5 นาที ครั้งแรกกับการออกมาหน้าโรงแรมยามค่ำคืน รู้สึกโรงแรมจัดไฟสวยมากกกก(อย่าดูรูปนะครับรูปไม่สวยเหมือนที่ตาเห็น ขอยืมรูปจากในเน็ตละกัน)

http://visit.arima-onsen.com/wp/wp-content/uploads/2015/01/1top1-900×600.jpg

ในเมืองเวลาค่ำคืนแล้วยิ่งเป็นหน้าหนาวอะไรๆ ก็ปิดเร็ว เราต้องรีบหาอาหารเย็นรับประทานก่อนจะมาซื้อของนิดๆหน่อยๆ ก่อนเดินกลับขึ้นเขามายัง รร. ระหว่างทางสังเกตุได้อย่างนึงคือไฟที่ดูเหมือนจะเป็นไฟหน้าบ้านของคนที่นี่ ปกติมันจะดับ แต่พอมีคนเดินผ่านถนนจะติดขึ้นมาเอง นับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนทำเพื่ออนุรักษ์พลังงาน

อิ่มท้องกันแล้วก็ได้เวลา ออนนนนนนนนนน เซ็นนนนนนนนน ผมจัดแจงเปลี่ยนชุดใส่ชุดยูกาตะ และไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนจะลงเดินไปที่่บ่อ บ่อชายช่วงเย็นในวันนี้ เป็นบ่อที่ต้องเดินไปนอกอาคาร จัดแจงถอดเสื้อผ้า เข้าไปก็เริ่มจากการอาบน้ำของเราให้สะอาด แล้วก็แช่ซะ
บ่ออนเซ็นที่นี่ นอกจากจะมีสองบ่อแล้ว ยังมีบ่อย่อยด้านในอีกคือ indoor กับ outdoor โดยจะมีน้ำแร่ทั้งสีทองและสีเงิน โดยด้านนอกจะเป็นน้ำแร่แบบสีทอง

ฟินกันไป กับอากาศข้างนอกที่อุณหภูมิ เกือบ 0 องศา ตอนที่ยืนแก้ผ้านี่หนาวเหน็บมา สมผัสแรกที่ลงบ่อก็จะรู้สึกร้อนมาก กลัวไข่จะสุก ฮ่าๆๆๆ จึงต้องค่อยๆลง แล้ว จึงนั่งแช่ฟินๆไป

http://www.arima-onsen.com/upmdir4/1/18_main_img.jpg

หลังจากขึ้นมาแล้วก็ได้เวลาตามที่นัด มีพนักงานมาเคาะห้องเพื่อที่จะมาปูที่นอนให้ พนักงานจัดแจง เก็บโต๊ะ เก้าอี้ ปูฟูกสองชั้น คลุมผ้า ปูผ้าห่มเรียกแล้ว สวยทีเดียว โดยขนาดที่ทำพยายามเชิญเราไปนั่งรอสบายๆ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงขอยืนดูละกัน แต่ถ้าเป็นไปได้คงเข้าไปช่วยปูแล้วล่ะ 5555

http://selected-ryokan.com/wp-content/uploads/2016/01/c748b0c51454d824718d933258ded53e.jpg

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อคืนนอนทั้งชุดยูกาตะแหละเพราะอ่านมาว่าใส่นอนได้ เช้านี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อจะมาแช่อีกบ่อกัน บ่อของที่นี้เปิดแต่เช้าครับ ตีห้าก็เปิดและ ส่วนปิดหรอตีหนึ่งแหนะ แต่เช้าๆมักจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นที่บ่อออนเซ็นเสมอ(ดูโคนันมากไป) เมื่อคืนนี้ผมลงแช่เวลาประมาณ 1 ทุ่มไม่มีคนเลย ส่วนเช้านี้ 7 โมง ปรากฎว่าคนเพียบเลย บ่อของวันนี้จะเป็นอีกบ่อขนาดไม่เท่าบ่อเมื่อวาน มี indoor outdoor เหมือนกัน ก็สบายตัวไปอีกเช่นเคย

แช่ออนเซ็นรอบเช้าเรียบร้อย ก็ได้เวลาอาหารเช้า อาหารเช้าที่นี้ก็เข้ากับ โรงแรมเป็นชุดอาหารญี่ปุ่นอย่างละนิด อย่างละหน่อย พนักงานแนะนำการรับปรุงและรับประทานด้วยความที่เห็นเราทำผิดๆถูกๆ 555 รสชาติก็ใช้ได้ครับ แบบอาหารญี่ปุ่นแต่ผมว่าข้าวหน้าเนื้อมื้อง่ายๆอร่อยกว่า 555

บ๊ายบาย Arima-onsen

ถึงเวลาล่ำลาเมืองนี้ ผมทำการ check out เรียบร้อย ลุงโชเฟอร์คนเมื่อวานก็ได้มาส่งครอบครัวผมที่สถานีรถไฟ โดยขากลับนี้ผมเดินทางโดยรถไฟกลับโอซาก้าโดยใช้บัตร KTP ก่อนขึ้นรถไฟ ผมได้มีโอกาศการเดินชมเมืองและถ่ายรูปบริเวณลำธารกลางเมืองเล็กน้อย เป็นอันปิดทริป Rokko-san+Arima onsen สำหรับเส้นทางนี้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้ผมรู้สึกชอบมากๆ ในหลายๆเรื่อง อย่างที่กล่าวไปในบทนำ ได้ลองอะไรที่ไม่เคยลอง วิวทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นซึ่งหากมาฤดูอื่นอาจจะมองเห็นในมุมมองอื่นที่แตกต่าง และเมืองที่สงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ซึ่งหากใครสนใจ ก็หาโอกาสตามรอยแล้วมาเล่าสู่การฟังบ้างครับ

แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไป ขอบคุณครับ

รูปภาพ จากกล้อง DSLR / มือถือ และบางภาพยืมจากเว็บไซต์จะมี Link อยู่ด้านใต้

link ข้อมูลที่สำคัญ
http://koberope.jp/en/rokko/price
https://www.rokkosan.com/en/pass/
http://www.negiya.jp/eng/access/ropewey/index.html
http://www.negiyaryokan.com/en-gb/photos#0
http://plus.feel-kobe.jp/guidemap/docs/rokko_en.pdf
https://www.japan-guide.com/e/e3558.html
http://www.hanshin.co.jp/global/en/map/

ลุยเฟี้ยวเที่ยวคันไซ (Part จบ)

มาๆๆ มาฟังเรื่องเล่าต่อในตอนจบ

logo

ครั้งแรกกับการแก้ผ้าแช่ออนเซ็น
เช้าวันที่ 3 ของภูมิภาคคันไซ วันนี้ ผมมีแพลนจะเดินทางไปละแวกเมืองโกเบกัน ซึ่งจริงๆแล้วโกเบไม่ได้ไกลจากโอซาก้ามากนัก และเมืองที่จะไปมีชื่อว่า อาริมะ หรืออาริม่าเนี่ยเป็นเมืองออนเซ็นที่อยู่ไปทางทิศเหนือของโกเบ ซึ่งเส้นทางนี้ค่อนข้างชานเมืองหรือเรียกง่ายๆว่าบ้านนอกอ่ะแหละรถไฟจะผ่านไม่เยอะมาก ผมนั่งรถไฟสาย Hanshin เพื่อไปลง โกเบแล้วจึงต่อรถไฟสาย Seishin-Yamate เพื่อไปสลับขบวนอีกรอบ

เมื่อถึงสถานี Tanigami ผมจะต้องสลับสายทีสถานีนี้ สถานีนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะออกมาจากตัวเมืองแล้ว นอกจะเงียบแล้วอากาศก็เย็น ในสถานีมีเซเว่น เล็กๆ ให้บริการ เมื่อเช้าด้วยความที่รีบออกไม่ได้หาไรกินมาจึงหิวมาก ผมเข้าไปหาอะไรรองท้องในเซเว่น ได้กาแฟกับถั่วมา นั่งกินไปรอรถไฟไป

IMG_1722-50

เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ ขบวนรถจึงนานๆมาที แถมขาไปและกลับยังใช้ชานชลาเดียวกัน ผมก็นั่งรอไป สงสัยไปว่าทำไมปลายทางไปอะริมะทำไมไม่มีมาสักที ครึ่ง ชม ก็แล้ว ชมนึงก็แล้ว ตัดสินใจเดินไปถามแม่ลูกคู่นึง ดูเค้าจะไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็มีชายหนุ่มวัยกลางคนสวมแว่นตา สไตล์คนญี่ปุ่น(ก็แน่นิ ก็ผมอยู่ญี่ปุ่น) เดินเข้ามาให้ความช่วยเหลือ พูดคุยกันจนพอทราบว่าผมต้องไปเปลี่ยนรถไฟอีกสถานี ผมก็ขอบคุณเค้าไป แล้วผมก็กะจะเอาขยะที่กินๆรองท้องไปทิ้ง ทันทีที่ผมลุกขึ้นเริ่มเก็บของ ชายคนดังกล่าวเข้าใจว่าผมจะขึ้นรถไฟขบวนถัดไป จึงรีบมาพูดๆๆ แล้วก็เขียนกระดาษให้ แต่เปล่าผมจะไปทิ้งขยะเฉยๆๆ แล้วผมก็กลับมานั่งที่เดิม

IMG_1726-51

พอถึงขบวนที่ผมจะขึ้นพี่แกก็วิ่งมาเลย ชี้มือชี้ไม้ ให้ผมรีบขึ้นขบวนนี้และรอส่งผม บ๊าย บาย พร้อมกับรอยยิ้มแห่งมิตรภาพให้ผม ขอบคุณมากๆครับ ถือว่าเป็นสิ่งที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้เลย หากไม่ได้ ชายคนดังกล่าวผมคงนั่งรออีกนาน ฮ่าๆๆๆๆๆ
นั่งรถไฟมาถึงสถานีที่จะต้องเปลี่ยนรถอีกครั้ง รถไฟสายสุดท้ายวิ่งเพียงสถานีเดียวเท่านั้น เพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง arima onsen เมืองที่ผมตั้งใจจะมาแช่ออนเซ็นในวันนี้

IMG_1735-54

เมืองอาริม่าเป็นเมืองในเขา ขนาดไม่ใหญ่มากเป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ส่วนใหญ่จะเห็นนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีและชาวญี่ปุ่นเอง จากการอ่านการบ้านในพันทิบซึ่งมีน้อยและเก่ามาก แต่ก็พอทำให้ทราบว่า ที่นี้มีออนเซ็นแบบสาธารณะอยู่สองที่ เป็นออนเซ็นเก่าแก่และราคาไม่แพง หากต้องการแช่ 1 ที่คิด 550 เยน หากเหมาสองที่ 800 และยังมีพวกพิพิธภัณฑ์ด้วยที่สามารถจ่ายเงินเพิ่มในแพคเกตแต่ผมจำราคาไม่ได้ ผมเดินผ่าน ออนเซ็น ซึ่งอยู่ใกล้กับทางเข้า ที่นี่มีที่แช้เท้าฟรีด้วย สามารถถอดรองเท้า ถุงเท้าแช่น้ำได้เลย

IMG_1760-59

ผมได้แต่แวะดูแต่ไม่ได้แช่เนื่องจากคนเยอะอีกทั้งลืมผ้าเช็กเท้ามา 555 จึงเดินสำรวจเมืองต่อจนมาถึงอนเซ็นสาธรณะอีกที่ ที่มีชื่อว่า Gin no Yu   ผมตั้งใจจะแช่ที่นี่แหละเพราะ เดินเข้ามาไกลพอควร คนน่าจะไม่เยอะ เมื่อเข้าไปด้านใน จนท. แนะนำให้ฝากรองเท้าโดยใช้ตู้ locker แบบหยอดเหรียญร้อยเยนและ กดซื้อตั๋วแบบต่างๆที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ พร้อมกับยื่นตั๋วให้ จนท แล้วเค้าก็ถามเราว่าจะเอาผ้าด้วยไหม ใช่ครับผมไม่ได้เอาผ้ามาจึงต้องเสียเงินค่าผ้า

IMG_1742-56

 

ถึงไข่จะสุกแต่ร่างกายก็สุขเหมือนกัน
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปจะพบทางแบ่งแยกชายหญิงชัดเจน ด้านไหน ก็อย่างที่รู้ๆ เป็นห้อง locker ที่เห็นคนยืนแก้ผ้าเพียบ ผมจะต้องถอดทุกอย่างที่นี้ให้เปลือยเปล่า ถามว่าเขิลไหม ไม่ครับ 555 ไม่มีใครรู้จักถอดๆๆๆ ยัดใส่ตู้แล้วรีบเดินเข้าไปเลยย

ถัดจากห้อง locker เป็นห้องอาบน้ำแล้วครับ มองอะไรไม่ค่อยเห็นเพราะไอน้ำแร่คลุ้งมาก ตามธรรมเนียมที่เปิดมาเราต้องอาบน้ำล้างตัวก่อนมีทั้งแบบตะวันตกและแบบญี่ปุ่น แน่นอนมาที่นี่ต้องเลือกแบบญี่ปุ่นสิครับ นั่งอาบน้ำครับ โดยสังเกตคนข้างๆเอาว่าเค้าอาบยังไง สบู่กับแชมพูมีให้ครบถ้วน ผ้าที่ได้มาจะเป็นผืนเล็กๆใช้ขัดตัว ก็ทำเลียนแบบข้างๆไป ขัดหลังบ้างตัวบ้าง จนเนื้อตัวสะอาดก็ได้เวลา ลงแชาออนเซ็นจริงๆซะที

IMG_1756-58

ก้าวแรกเลยลองเอาเท้าจุ่มๆ นึกในใจร้อนโคตรรรรร ร้อนสุดๆๆๆ กี่องศาฟระเนี่ย ตัวจะสุกไหม ทำใจได้เอาวะ ทนหน่อย ก็ลงเลยครับ ไปแช่อยู่ข้างๆอ่าง ผ้าที่ได้มาต้องวางไว้ขอบอ่างตามมารยาท เห็นคนอื่นมาแช่จนตัวแดง ผมก็เช่นกันแช่ จนคิดว่าพอและ พอเพียงไม่นานมาก จึงลุกขึ้นมาอาบน้ำต่ออีกรอบ

อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเสร็จก็ออกมาแต่งตัวแต่ เห้ยย ไม่ได้เอาผ้าเช็ดตัวมาทำไงล่ะเนี่ย ก็หนีไม่พ้นผ้าขนหนูขัดตัวผืนเล็กๆแหละครับ บิดน้ำให้แห้งพอถูไถได้ 5555 ตัวหมาดๆ ก็ออกมาใส่เสื้อผ้าที่ห้อง locker

https://i1.wp.com/www.feel-kobe.jp/facilities/img/0000000064_04.jpg?resize=584%2C438

รูปภายในจาก http://www.feel-kobe.jp/facilities/img/0000000064_04.jpg

แต่แล้วก็มีเหตุการเกิดขึ้น ระหว่างแต่งตัว ก็ได้ยินเสียงกุญแจตู้รองเท้าตก พลันผมก็หยิบแล้วใส่กระเป๋า แล้วก็แต่งตัวเป่าผมเรียบร้อย เดินออกมาด้านนอกตรงเค้าเตอร์เพื่อมาคืนกุญแจ พบกับชายแก่กำลังคุยกับเจ้าหน้าที่ตรงเค้าเตอร์ด้วยภาษาญี่ปุ่น แน่นอนผมฟังไม่รู้เรื่องแต่ สีหน้าลุงบอกว่ากำลังเดือดร้อนอะไรสักอย่าง
แล้วภาพในสมองก็แวบขึ้น ลุงคนนี้คือคนที่เดิน สวนเราแล้วกุญแจก็ตกลงพื้น หรือว่าที่เค้ากำลังตามหาคือกุญแจ ผมรีบล้วงมือเช็ค ก็เป็นตามคาดในกระเป๋ามีกุญแจที่เก็บรองเท้าสองชุด ซวยล่ะหว่า ภาพรีเพลย์วนกลับมาในหัวใหม่อีกรอบ ต้องเป็นของชายแก่ผู้นี่แน่นอน ผมก็ตรงเข้าไปขัดระหว่างบทสนทนาทันที โดยที่ไม่ตรวจสอบก่อนว่าดอกที่ให้ไปนั้นเป็นตู้รองเท้าผม

ตาลุงก็ขอบคุณใหญ่แล้วก็เดินไปที่ตู้รองเท้า ผมก็เช่นกันแต่เอ๊ะทำไมเบอรตู้กับกุญแจไม่ตรงกัน ผมรีบวิ่งไปหาลุงแล้วขอสลับอีกครั้งทันที 5555
หลังจากเรื่องวุ่นวายจบลงผมเดินออกมาด้านนอก ตัวผมอุ่นขึ้นแม้ว่าอากาศภายนอกจะหนาวเหน็บ เนื้อตัวรู้สึกถึงความสบายอย่างบอกไม่ถูก ฟินจริงๆ

IMG_1768-62

ร่างกายสบายพลังก็เพิ่มขึ้น ได้เวลาเดินชมเมือง เมืองอาริม่ามีคลองเล็กๆไหลผ่านกลาง ริมคลองมีทางเดินและสะพานซึ่งก็สวยไปอีกแบบ หากแดดร่มรมตกก็สามารถมานั่งเล่นชิวๆได้เลย แต่อากาศแบบนี้ถึงแดดจะออกก็ยังหนาวมากครับ ถ่ายรูปนิดหน่อยก็ได้เวลาอำลาเมืองเล็กๆน่ารักแห่งนี้

IMG_1786-66

หุ่นเหล็กแห่งเมืองโกเบ

ผมนั่งรถไฟย้อนกลับมาทางเดิมกลับมาเที่ยวย่านโกเบ แต่ขากลับก็ยังมิวายหลังทางนิดหน่อย มาติดแหงกในสถานีรถไฟร้างๆ ที่แทบไม่มีคน กะอากาศหนาวๆก่อนจะมองหาป้ายรถไฟแล้วเดินทางต่อได้

IMG_1791-68

นั่งรถไฟต่อมาจนถึงโกเบ โกเบเป็นเมืองท่าที่มีชื่อเสียงในเขตคันไซ จุดหมายแรกที่ผมจะไปคือ Wakamatsu Park สงสัยล่ะสิ ที่สวนแห่งนี้มีอะไร ที่สวนแห่งนี้มีคือ…………..เจ้าหุ่นเหล็กหมายเลข 28 (Tetsujin 28) การเดินทางมาหาเจ้าหุ่นนี่ สามารถลงที่สถานี Shinnagata  แล้วเดินวนมาหลังตึกก็จะเจอเจ้าหุ่นนี้ตั้งเด่นมากกก

เจ้าหุ่นเหล็กตัวนี้ในอดีตเป็นการ์ตูนที่เคยดังมากของนักเขียนการ์ตูนนามว่ามิตสึเทรุ โยโกยามา ซึ่งหลังจากเค้าเสียชีวิต จึงได้มีการสรา้งเจ้าหุ่นตัวนี้เพื่อเป็นเกียรติเค้า

IMG_1793-69

เจ้าหุ่นเหล็กตัวนี้จะตั้งอยู่ที่สวน วากามัตซึ อยู่หลังห้องอะไรสักอย่าง ขึ้นจากรถใต้ดินโกเบ Shinnagata  เดินอ้อมมาหลังห้างก็เจอและ

อ่าวโกเบที่ไม่เบ

หลังจากชื่นชมเจ้าหุ่นเหล็ก ท้องเริ่มหิวแต่ก็ไม่รู้จะกินอะไร บังเอิญเดินผ่านร้านขายผักและผลไม้สดเห็น สตอเบอร์รี่ลูกยักษ์  ใหญ่กว่าที่ไปกินเกาหลี ในราคาสามร้อยเยน เยน เยนนน เท่านั้นนนน(90บาท) ไม่รีรอเลือกแพคสวยๆ เดินเข้าไปจ่ายเงิน ก็ได้สตอเบอรี่มาชิมแต่เดี๋ยวเก็บไว้ก่อน ไว้ได้ที่เหมาะๆ ค่อยแกะกิน 555

IMG_1834-76

ผมกลับมาที่สถานีรถไฟใต้ดินโกเบ นั่งต่อไปอีกจนถึงสถานี Harborland  เดินต่ออีกหน่อยก็จะถึงบริเวณอ่าวโกเบ ไหนๆเรามาโกเบ เราต้องมาถ่ายรูปกับหอคอยโกเบด้วยไม่งั้นมาไม่ถึง ทางที่เดินไปยังบริเวณอ่าวจะมีจุดให้ถ่ายรูปมากมาย และบริเวณอ่าวเอง จะมี Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall ทำให้เด็กๆเยอะมาก และชิงช้าสวรรค์สีแดงตั้งเด่นเป็นเอกลักษณ์ริมอ่าว

IMG_1813-2

บริเวณริมอ่าวนี้มีที่ให้นั่งเล่นเยอะมาก จึงมักจะเห็นคนญี่ปุ่นมานั่งเล่น ทำกิจกรรม ชิวๆกันที่นี่ ผมเลยถือโอกาสแกะสตอเบอรี่ชิม ท่ามกลางแดดที่ร้อนแรง แต่ยินดีที่จะนั่งตากแดดเพราะอากาศมันหนาวจริงๆ 5555

IMG_1816-75

pano kobe-2

บ่ายๆแก่ๆก็ได้เวลาเดินทางกลับโอซาก้า ผมนั่งรถไฟสาย Hanshin เพื่อกลับมายังย่านนัมบะ แต่ก่อนจะกลับเข้าที่พัก ผมใช้เวลาที่เหลือไปเดินเล่นย่าน Ebisuhigashi ซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าแก่แห่งนึงของโอซาก้า แต่เนื่องจากเวลาที่มาถึงยังไม่มืดจึงยังไม่เห็นร้านอะไรมากนัก แต่เมื่อกลางวันที่ผ่านมาผมมีเพียงสตอเบอรี่รองท้อง ทำให้ตอนนี้ผมหิวแล้วววววววววว

IMG_1843-2

ได้เวลาที่ผมจะหาอาหาร Local ทานอีกแล้ว ผมเดินลัดเลาะซอยนู้นซอยนี่ ก็มาเจอกับร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนึง เข้าไปด้านในผมขอเมนูภาษาอังกฤษมา วันนี้อยากกินเนื้อครับ เลยสั่งข้าวเนื้อย่าง ซึ่งราคาก็อยู่ในเรทปกติคือ1000 เยน รสชาติอร่อยครับ อยากกินอีกแต่ท้องไม่รับและ นั่งพักให้หายหนาว ก็ออกมาด้านนอก พระอาทิตย์กำลังจะตกและ ได้เวลาเข้าไปใจกลางย่าน Ebisuhigashi ซึ่งจะมีหอคอย Tsutenkaku  ตั้งเด่นอยู่ใจกลางย่าน หอคอย Tsutenkaku เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นมานานและ และเคยสูงที่สุดในเอเชียด้วยยยย

ผมเดินหาทางเข้าสักพัก พบว่าคิวยาวววมากกกก จึงต้องตัดใจ และออกมาเดินเล่นต่อ วันนี้ลุยมาเยอะ คงต้องกลับไปที่พักแล้ว โดยย่านนี้ห่างจากที่พัก 1 สถานีรถไฟใต้ดิน ผมจึงตั้งใจจะเดินกลับเรื่อยๆ  แต่ขากลับก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น

ระหว่างที่เดินกลับ มีชายตัวใหญ่วัยกลางคนเดินเข้ามาคุย ทำท่าชี้มาที่ข้อมือจึงเข้าใจว่า มาถามเวลา เราจึงให้ดูเวลาไป แล้วเค้าก็ถามว่ามาจากไหน หลังจากนั้นก็บอกกับเราว่าเค้าป่วย พอจะมีเงินไหม แล้วก็ชี้ๆไปที่เข่าของเขา ผมเห็นท่าไม่ดี จึงบอกไปว่าผมไม่เข้าใจแล้วรีบเดินหนีเลย -_-”

เส้นทางเดินขากลับผมใช้เส้นทางเดิมผ่าน den den town ย่านของเล่นและเกมส์ ก็มีโอกาสแวะเข้าไปร้านของเล่นเพื่อเติมฝันในวัยเด็กอีกสักครึ่ง(เดินยั่งกิเลส 555)

กลับมาถึงที่พัก วันนี้มีเวลาพักผ่อนเยอะหน่อย  เนื่องจากเริ่มปวดเมื่อยร่างกายจากการเดินมาทั้งวัน จึงขอรีบอาบน้ำเข้านอน

คืนนี้เป็นคืนที่แขกเยอะ ทำให้ห้องพักมีเสียงตลอดเวลาจึงนอนไม่ค่อยหลับ แต่ก็ต้องพยายามพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ยังเหลืออีกวัน………..

วันสุดท้ายของการเก็บตก

วันสุดท้ายที่ญี่ปุ่น ผมตื่นมาด้วยร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนล้าและเพลีย รวมถึงอากาศที่เย็นจับใจ ทำให้เหมือนจะมีอาการเป็นไข้ ปวดหัวเล็กน้อย โชคดีที่กินบาแล้วอาการดีขึ้น สำหรับแผนวันนี้ รู้ไหมผมจะไปเที่ยวไหนนนน ให้ทาย 555 น่าจะทายกันถูกเพราะตั้งแต่มาที่นี่แทบไม่ได้เที่ยวในเมืองโอซาก้าเลยยยยยยยยยย

วันสุดท้ายของเขตคันไซของผมจึงเป็นการเดินเที่ยวรอบๆโอซาก้านั้นเอง ผมเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก หอบสัมภาระรุงรัง ทันทีที่เดินออกมาสัมผัสกับลมของโอซาก้าวันสุดท้ายคือ หนาวเว้ยยยยยย

 

ผมเดินไปยังสถานีนัมบะ ญี่ปุ่นนี่ดีครับ มี locker ฝากของ ผมมีเวลาเดินเที่ยวที่โอซาก้าถึงหกโมงเย็นก่อนจะกลับมายังสถานีนัมบะโดยใช้ KTP และต้องมาขึ้นรถไฟที่สถานีนันไคนัมบะ ผมจึงเอาสัมภาระมาฝากที่ locker ที่สถานีนี้

สำหรับ locker ใช้งานไม่ยากมีให้เลือกหลายขนาด เปิดฝาใส่ของ หยอดเหรียญแล้วบิดกุญแจออก ก็ไปเดินตัวปลิวต่อได้เลย

หลังจากฝากกระเป๋าแล้วท้องก็หิว ที่นี่เป็นเขตช็อปปิ้งย่านกลางคืน หากจะหาของกินเช้าตรู่แบบนี้ค่อนข้างจะหายาก แต่ก็ไม่รอดสายตา ตอนขาที่เดินมา ผมเห็นร้านข้าวหน้าเนื้อที่มีสาขาอยู่มากมายยั่วเยี๊ยะในต่างประเทศ นั้นคือร้านโยชิโน ย่า ย่า ย่าาาาาา จึงไม่พลาดที่จะแวะลองชิม

อิ่มแล้ววว ก้ได้เวลาออกลุยยย ที่แรกที่จะไปซึ่งเป็น landmark ของโอซาก้าอีกแห่งนอกจากเจ้าป้ายกูลิโกะ ก็คือ ปราสาทททท โอซาก้าาา  สำหรับปราสาทโอซาก้า เป็นปราสาทเก่าแต่ของเมืองแต่ถูกทำลายและบูรณะขึ้นมาใหม่หลายครั้ง เนื่องจากปราสาทโอซาก้ามีบริเวณกว้างขวาง จึงสามารถเดินทางโดยรถไฟมาลงได้ถึงสองสถานี

ปราสาทโอกาซ่าาาา เอ๊ะต้องโอซาก้าสิ

ผมเองเดินทางมาลงสถานี Morinomiya  เมื่อขึ้นมาด้านบนจะเห็นบริการรถพ่วง ไปยังตัวปราสาท เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า เช้านี้เราต้องเดินไกลแน่นอนนน ผมเดินตามผู้คนมาเรื่อยๆ ผ่านเหมือนสวนรอบบริเวณปราสาท จนเริ่มเจอกำแพง ก็จะเจอบันไดด้วย กว่าจะเข้ามาถึงเหนื่อยเหมือนกัน

IMG_1857-82

ก่อนเข้าตัวปราสาท จะมีบริเวณรอบๆ จะพบกับผู้คนมาถ่ายรูปมากมายปราสาท และมีร้านเล็กๆ มากมาย แต่ยังไม่ถึงเวลากิน ขอถ่ายรูปสวยๆก่อน วันนี้ฟ้าใสกิ๊กเลย ไม่มีเมฆใดๆทั้งนั้น แดดแรงอีกต่างหาก แต่อากาศก็ยังโคตรหนาวเหมือนเดิม 5555

IMG_1890-93

ก่อนเข้าตัวปราสาท เราจะต้องซื้อตั๋วก่อน ซึ่งจะมีเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติและเค้าเตอร์เจ้าหน้าที่ ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติคนส่วนใหญ่มาใช้บริการกันที่นี่ ซึ่งผมเองก็เช่นกัน ระหว่างที่อยู่ในคิวก็พยายามมองคนที่อยู่ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วว่ามันกดยังไง จ่ายเงินยังไง  ต่อคิวมาสักพักพอถึงคิวตัวเอง พลันเหลือบไปเห็นป้าย สำหรับผู้ถือบัตร KTP รับส่วนลดติดต่อเค้าเตอร์จำหน่ายบัตร ผ่างงงงงงง

นี่ต่อมาตั้งนานเพื่อมาเจอป้ายนี้หรอเนี่ยยย รีบเดินออกมาเข้ามาที่เค้าเตอร์สอบถามยังเจ้าหน้าที่ โชบัตร KTP และชำระเงินในราคาพิเศษ 500 yen ก่อนเดินเข้าไปด้านใน

IMG_1871-86

พอเข้ามาด้านในปราสาท  ทำผมอะเมซิ่งมากครับ เพราะข้างในไม่เป็นแบบที่คิดเลยยย แทนที่จะได้เจอสถาปัตยกรรมโบราณ แต่นี่อาคารสมัยใหม่ชัดๆๆ จัดแสดงเหมือนพิพิธภัณฑ์ มีประมาณ 5 ชั้นจำไม่ได้ บางชั้นจะห้ามถ่ายรูป

ผมก็ผิดหวังเล็กๆ แต่ก็เดินชมนู้น นี่ นั้นไป   ภายในก็จะมีผังเดิมของปราสาท ภาพบรรยากาศสมัยนั้น เครื่องแต่งการ ประเพณีโบราณ

IMG_1899-95 IMG_1896-94

ขึ้นมาด้านบนสุด จะมีระเบียงออกมาด้านนอกเพื่อชมวิวมุมสูง ซึ่งสามารถมองเห็นเมืองได้รอบๆ วิวดีพร้อมลมเย็นๆ ทำเอาหายเหนื่อยไปได้บ้าง

IMG_1904-97

ชมปราสาทเสร็จ ก็กลับลงมาด้านล่าง แวะดื่มชาเขียวเย็นๆและนั่งพักหน่อย ด้านล่างคนยังเยอะเหมือนเดิม หากใครหิวสามารถซื้อของหวานของคาวทานได้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ยังไม่พ้น นักเรียนญี่ปุ่นตัวเล็กๆ กับนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี

IMG_1920-99

ขากลับผมเลือกเดินกลับมาอีกฝั่ง ไม่ได้กลับไปยังสถานีเดิม เผื่อเจอมุมดีๆถ่ายรูปสวยๆ และก็จริงอย่างที่คิด เส้นทางกลับมาที่สถานี Tanimachiyonchome  จะมีมุมถ่ายรูปที่สวยกว่า เส้นทางแรก หากใครอยากได้รูปแนะนำมาทางสถานีนี้ดีกว่าครับ

IMG_1933-103

 

หนึ่งในชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่และเก่าแก่ของโลกกก

IMG_1937-104

จุดหมายต่อไป ที่เป็น Landmark อีก ชิงช้าสวรรค์ เท็มโปซาน ชิงช้าสวรรค์แห่งนี้มีสรา้งมานานและ และเคยขึ้นอันดับหนึ่งในเรื่องความสูงของโลก ใช้เวลาหมุนรอบนึงเกือบ 20 นาที หลายปีก่อนผมได้มีโอกาสขึ้นสิงคโปรไฟรเออมาแล้ว มาโอซาก้า ก็จะขอมาลิ้มลองด้วย

การเดินทาง สามารถเดินเท้าจากสถานีรถไฟ Osakako แถมบริเวณนี้ไม่ได้มีแค่ชิงช้าสวรรค์ ยังมีพิพิธภรรณ์สัตว์น้ำ ที่มีชื่อ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำอีกด้วย แต่ผมไม่ได้เข้าอ่ะ มานี่มาขึ้น ชิงช้าอย่างเดียว 55555

IMG_1951-105

เดินมาถึงรีบตรงไปยังคิวชิงช้า คิดว่าคนจะเยอะแต่ไม่เลยโล่งมากๆๆๆๆ ชิงช้าเท็มโปซานไม่เหมือนกับสิงค์โปร ของสิงค์โปรจะดูใหม่ๆไฮเทค ติดแอร์ แต่เท็มโปซานนี่ เป็นชิงช้าแบบดั้งเดิมจริงๆ กระเช้านึงบรรจุผู้โดยสารไม่ได้มาก ทีแรกนึกว่าจะได้ นั่งร่วมกับชาวต่างชาติด้านหน้าซึ่งเค้าก็มาคนเดียว แต่เพราะคิวน้อย ก็เลยได้นั่งคนเดียวครองกระเช้าไปเลยยย

วิวมุมสูงริมอ่าวแห่งนี้ สวยครับ มองได้รอบๆเลย เห็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำใกล้ๆ ด้วย หรือจะมองไกลๆ ก็เห็นอ่าวเห็นเรือขนส่งเหมือนกัน

หากถามว่าเสียวไหม เสียวครับ เสียวกว่าสิงคโปรนะ 555 เพราะมันเป็นแบบ ชิงช้าแบบดังเดิมเลย 555

IMG_1971-107

ผ่านไปเกือบ 20 นาทีก็กลับลงมาถึงพื้นล่าง เวลาที่แพลนไว้วันนี้เหลือค่อนข้างเยอะทีเดียว กว่าจะเย็น ผมเลยใช้เวลาที่เหลือ เดินเล่นที่นี่ด้วย เพราะด้านล่างมีห้างเล็กๆ ให้เดินดูของ อีกทั้งสวนสาธารณะ ซึ่งมีแต่ผู้คนนั่งจิ้มโทรศัพท์ไม่รุทำอะไรกันอยู่หรือว่าจะจับโปเกม่อน จนได้เวลาเที่ยง ท้องก็หิวเอาล่ะหาไรกินดี

IMG_1992-112

เดินกลับมาสถานีรถไฟ Osakako ตรงบริเวณทางขึ้นเห็นร้านทาโกะยากิ ซึ่งในไทยหากินได้ไม่ยากตลาดนัดแถวบ้านผมยังมี ฉไนเลยมาญี่ปุ่นจะไม่ลอง แถมร้านนี้คนเยอะด้วยยย ดูแล้วอะไร ราคาไม่แพง ถ้าจำไม่ผิด ชุดเล็ก 12 ลูก 600 เยนเท่านั้น

 

ผมสั่งชุดเล็ก 1 ชุด ลิ้มรสความอร่อย คำแรก บอกได้เลยว่า ร้อนนนนนมาก ทั้งลิ้นทั้งปากพองครับ -_-”  เอาล่ะ มาถึงรสชาติจริงๆอร่อยครับบอกเลย ใครมาพิพิธภัณฑ์หรือมาชิงช้า ลองซื้อชิมดูนะครับ 555

IMG_1994-113

พิพิธภัณฑ์บ้านและความเป็นอยู่ของชาวเมืองโอซาก้า

ตอนที่อยู่ที่ร้านทาโกะ ผมเปิดคู่มือ KTP ดูว่าเวลาที่เหลือก่อนจะหลับไปซื้อของฝากและนั่งรถไฟกลับสนามบิน ผมควรจะไปเที่ยวไหนดีกับ 1 ชมที่เหลือ ก็ไปเจอพิพิธภัณฑ์ความเป็นอยู่โอซาก้า เห็นในรูปสวยดีดูมีวัฒนธรรม ขอแวะไปดูสักหน่อย พอถึงสถานี Tenjimbashi-suji Rokuchome เดินออกมา เดินหาไม่เจอครับ เจนมาเจออป้ายถึงรู้ว่ามันอยู่ชั้นบนของตึกนี่นา เราก็นึกว่าอยู่บนพื้นปกติ

จึงเดินเข้าไปในลิฟท์ขึ้นไปด้านบน มีเจ้าหน้าที่มาสอบถามและอธิบาย จึงซื้อตั๋วเข้าชม พร้อมทั้งฝากกระเป๋าไว้ที่ locker ในนี้ส่วนใหญ่ถ่ายรูปได้ครับ ยกเว้ณบริเวณชงชาIMG_2001-114

ด้านในจะเป็นการจัดแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโอซาก้าสมัยก่อน ที่นี่สามารถเช่าชุดเดินถ่ายรูปได้ แต่ผมว่านะ สถาที่ค่อนข้างเล็ก มีที่ถ่ายรูปน้อยและดูไม่ค่อยมีอะไร และที่นี่ก็เจอแต่นักท่องเที่ยวเกาหลีสวมยูกาตะ ถ่ายรูปเยอะแยะเลย 555 ไปไหนๆ ก็เจอยังกะมาเที่ยวเกาหลี

IMG_2017-118

 

ถ่ายรูปนิดหน่อยก็เบื่อและ ก่อนจากก็ขอสัมผัสเสื่อทากามิ เอ๊ะเรียกถูกไหม ได้ยินแต่ในการตูนบ่อยๆ ขอจับของจิงหน่อยเป็นบุญมือ เวอร์วังมาก 555  อืมมมมม คล้ายๆเสื่อกก บ้านเราแฮะแต่ ทอแบบแน่นๆ หนาๆ กว่าเยอะ อิอิ

IMG_2011-116

บ่ายแก่ๆแล้ว ได้เวลา เดินทางกลับมาบริเวณที่พักเพื่อจบภารกิจก่อนกลับไทย นั้นคือ ช๊อปปิ้ง ทั้งของตัวเองและของฝาก ซึ่งไม่ต้องไปไหนไกล เดินไล่มาตั้งแต่ Shinsaibashi ลงมา Dotonbori เลี้ยวขวาามาจบที่ Nippombashi

ภารกิจช๊อปปิ้งภารกิจปิดท้ายยย

ช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรจะเล่ามาเพราะซื้อของอย่างเดียว  อ้อมีแนะนำของรองท้องอย่างนึง ตอนเดินผ่านร้าน ดองกี้ที่คนชอบมาซื้อของ มีร้านขายอาหารข้างๆ เค้ามีไก่บาบีคิวขาย อร่อยดีต้องลอง รองท้องได้ดี ส่วนร้านดองกี้หรอ เข้าไปแปปก็เดินออกและ คนเยอะของเยอะ บางอย่างก็แพงกว่าร้านอื่นนะ

ตอนที่ผมเดินกลับมาที่ย่าน Nippombhashi เนี่ยกะกลับมาหาซูชิที่วันก่อนกินไปคือ คือชุด Regular Sushi ราคาพันเยนนน เพื่อเป็นการส่งท้าย ระหว่างที่เดินในตลาด Kuromon Ichiba Market เนี่ยเดินผ่านร้านกระเป๋าเป้จึงแวะไปดูเผื่อมีใบถูกใจจะได้แวะเปลี่ยนกระเป๋าใบเดิมที่ เน่าๆ ขาดๆและ

ระหว่างกำลังเลือกนั้น ชายวัยกลางคนซึ่งท่าทางบ่งบอกว่าเจ้าของร้านแน่ๆ เข้ามาทัก

“ยูคัมฟอมไทแลนน”
“เยส”
“ผ้มพูดทายได้นิดน่อยย ผ้มมีเมียคนทาย”

หลังจากนั้นก็ยาวครับแกมาช่วยเลือกเอา คอเลคชั่นมาให้ดู  แถมแกก็กดมือถือต่อสายถึงเมียแกให้คุยอีกด้วย คือกะว่ามาดูเฉยๆ สงสัยจะได้กลับไปซักไปและ และก็มาจบยี่ห้อญี่ปุ่นดังที่กำลังนิยมในหมู่วัยรุ่นไทย (ผมก็ยังวัยรุ่นนะ) พร้อมกับส่วนลดมากมายเป็นที่น่าพอใจ แถมอมยิ้มอีกสองแท่ง 555 และได้ทำการย้ายของก่อนฝากกระเป๋าใบเก่าทิ้งด้วยนะครับ 55555

สะพายเป้ใบใหม่ออกจากร้าน กะเดินแวะร้านนาฬิกาก่อนกลับ แต่ร้านปิดแล้วผิดหวังกันไป เดินกันต่อวนกลับมาที่นัมบะ ยังเหลือเศษตังพอสมควรแวะ Family mart เพื่อเปลี่ยนเงินเป็นขนมยัดกระเป๋าเท่าที่จะยัดได้และไม่ลืมที่แวะล๊อคเกอร์เอากระเป๋าที่ฝากไว้

ตอนนี้สภาพผมถ้าเป็นหนังหุ่นยนต์ คือร่างประกอบร่างสุดยอดแล้วครับ 555 ของพะรุงพะรังมากกก เดินขึ้นไปสถานี นันไคนัมบะ เพื่อรอรถไฟกลับสนามบิน นับถอยหลังกลับบ้านแล้วสินะ เวลาผ่านไปรวดเร็ว ที่สถานีนันไคเนี่ย จะมีชานชลาเยอะมาก ยืนรอให้ถูกล่ะ อิอิ

หากยังจำกันได้ขามาจากสนามบินนั้น ผมนั่งเจ้าอัศวิน rapit แต่ขากลับนี้ผมนั่งสาย Express ซึ่งอยู่ในแพคเกต KTP แต่ถ้าหากครึ้มใจคุณจะนั่ง rapit ซึ่งเร็วกว่านิดหน่อย และมีการระบุที่นั่ง คุณสามารถเพิ่มเงินเพื่อนั่งสายนี้ได้ ส่วนผมหรอขอแบบไม่ต้องจ่ายเพิ่มละกัน

รถไฟเริ่มออกตัว เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก็ถึงเวลาลาจาก โอซาก้า บ๊าย บาย การผจญภัยครั้งนี้ก็ถึงเวลาจบ ผ้าม่านถูกหย่อนลง ไฟดิมลดแสงสว่างลง พร้อมผู้ชมปรบมือ จบสักที 5555 เป็นอีกครั้งของการเที่ยวแบบฉายเดี่ยวเหงาๆ มากมายด้วยประสบการณ์ ไว้มีโอกาสมาถึงจะได้ลุยกันใหม่

อ๊ะ คิดว่าจบและอ่ะสิ อาจจะต้องขออภัยที่รอบนี้ไม่ค่อยจะบันเทิงเท่าไหร่ แต่ขอส่งท้ายด้วยสาระหน่อยละกานนนนน

วิธีดูป้ายยรถไฟจ้าาา (ฉบับเดาเองล้วนๆผิดแจ้งมาได้จ้า)

asegsg

โดยทั่วไปแล้ว เราจะเห็นตารางรถไฟแบบนี้อยู่ที่ชานชลา ของสถานี เจ้าป้ายนี้แหละจำทะให้คุณเดินทางได้อย่างถูกต้อง เริ่มจากแบ่งเป็นสามส่วน(กดซูมเอานะ)

ส่วนซ้ายสีเขียวๆฟ้าๆ คือ ตารางเวลาสำหรับวันธรรมดา สีชมพูด้านขวาคือวันหยุด
ในตารางทั้งสองจะแบ่งสองขาบนล่าง นั้นคือไปและกลับ และจะมีเวลาที่ออกจากสถานีนี้ หัวคอลัมภ์คือ ชม.  ค่าในตารางจะเป็นนาที สีของนาทีบอกว่าเป็นสายไหนExpress rapit semi หรือ local ซึ่งก็ต้องมาดูด้านลjาง ตารางที่สาม  ที่จะบอกว่า แต่ละสายนั้นจอดสถานีไหนบ้าง  ประมาณนั้นแล ไม่ยากใช่มะ อิอิ

ขอลาด้วยสาระไว้เพียงเท่านี้ อิอิ ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าเมื่อถึงเวลาต้องออกเดินทางอีกครั้ง

ขอบคุณครับ