และแล้วก็มาถึงตอนจบสักที ตอนแรกกะว่าบันทึกการเดินทางนี้จะมีแค่สองตอน เอาไปเอามาเนื้อหาและภาพเยอะ(ถึงจะหาสาระไม่ได้ก็เหอะ 555) จนต้องขยายเป็นสามตอน
ความเดินจากตอนที่แล้ว ผมเช็คเอ้าท์ออกจากโฮสเทล พวกเขาส่งผมด้วยมิตรภาพดีๆ ตอนนี้ผมมาอยู่รอปากซอยโฮสเทลแล้ว เผื่อว่าสตาฟบริษัททัวร์จะมองไม่เห็นผม ถ้าตกรอบนี้อีกรอบคงไม่ต้องไปไหนกัน
รวมตัว
เมื่อถึงเวลานัด มีเก๋งคันโตสีดำขนาดใหญ่ ขับมาจอดตรงหน้าแล้วเปิดกระจกถามผมว่าคุณที่จะไป DMZ ทัวร์ใช่ไหม ผมมาจาก …… มารับคุณ และคุณชื่อวิวาสส เพื่อความชัวร์เขาขอคอนเฟริมชื่อผมก่อนเรียกให้ผมขึ้นรถ
ผมเช้ามาในรถ ทางสตาฟก็แนะนำตัวอีกครั้ง ผมจำชื่อไม่ได้ เขามาในชุดสูทดูดี เขาจะไปส่งผมที่ๆนึงเพื่อขึ้นรถคันอื่นต่อ นั่งเก๋งไฮโซมาไม่นาน เก๋งพามาจอดในซอยๆนึงตึกสูงล้อมรอบ สตาฟพูดอะไรกับผมสักอย่าง พอจับใจความได้แค่ว่าจะอยู่ในรถหรือออกไปข้างนอก ผมก็งงๆ ขออยู่ในรถดีกว่า เขาก็ติดเครื่องรถไว้ให้แล้วเดินไปในอาคารทิ้งผมไว้ให้งง
เวลาผ่านไปสิบนาที สิบนาทีที่ครุ่นคิดว่า นี่เราถูกลักพาตัวปะเนี่ยโดยองค์กร ชายชุดดำใส่สูทในโคนัน 555 มั่วไปนั้น สตาฟก็มาเปิดประตูแล้วเชิญผมลง นาทีนั้นเองผมก็ไได้พบกับสมาชิกร่วมทัวร์ท่านอื่นๆ ประกอบด้วย คู่หูคนนึงเป็นคนญี่ปุ่นอีกคนเป็นชาติตะวันตกมาด้วยกันเป็นเพื่อนกัน แต่นั่งแยกกันตลอด ดูเหมือนนักธุรกิจทั้งคู่ คู่ที่สองเหมือนเป็นชาติตะวันตกและชาติทางเอเชีย แต่ดูเหมือนเป็นคู่รักกัน คนสุดท้ายหนุ่มชาวจีนตัดผมแนวๆ มาเดี่ยวๆ
พวกเราได้พบกับไกด์ในทัวร์ครั้วนี้เขาชื่อ ……. อะไรหว่า จำไม่ได้ 5555 เป็นไกด์ที่พูดเก่งมาก พยายามเอ็นเตอร์เทรนตลอด ไม่ค่อยมีคนฟังเขาสักเท่าไหร่ ผมอยากฟังนะแต่ฟังไม่รู้เรื่อง
แล้วรถก็มารับเรา รถคันแรกเป็นรถตู้ มารับเราเพื่อเปลี่ยนเป็นรถบัสขนาดเล็ก ก็เริ่มออกเดินทางจริงๆๆสักที ระหว่างทาง ไกด์พยายามอธิบายกฎต่างๆ และชวนลูกทัวร์คุย รวมถึงขอรายละเอียดของลูกทัวร์
DMZ ทัวร์งงๆ กับคนเง็งๆ
ระยะเวลาในการเดินทางระหว่างโซลไปยัง DMZ ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง รถวิ่งเลียบแม่น้ำฮันซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักตัดผ่านใจกลางโซล และที่สำคัญเป็นแม่น้ำที่ไหลมาจากทางเกาหลีเหนือ
เมื่อออกจากเมืองมาได้สักพัก ตลอดทางเราจะเห็นรั่วลวดหนามและป้อมปราการณ์ถี่มากๆๆๆๆ คุณไกด์ก็อธิบายให้ฟังง่าไว้สำหรับป้องกันเกาหลีเหนือ ผมไม่แน่ใจนักว่าแต่ละป้อมมีทหารอยู่เวรยามหรือไม่ เพราะถ้ามีคงต้องใช้คนเยอะแน่ เพราะป้อมถี่มากกก แถบทุกๆ สองร้อยเมตรก็ว่าได้
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ บ้านเรือนเริ่มลดลง รถบัสก็เลี้ยวเข้ามาถึง Imjingak Park
ที่ Imjingak Park จะเป็นสถานที่ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Imjing ในเขต paju สรา้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับสงครามเกาหลี เพราะที่นี้ครั้งนึงเคยโดยระเบิดสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำในขณะที่เค้าประกาศสงคราม ทำให้มีชาวบ้านเสียชีวิตจำนวนมาก ด้านในจะมีอาคารที่มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกและ ร้านกาแฟ ด้านบนจะสามารถชมวิวรอบๆ ได้ แะจะมองเห็นตัวสะพานที่ถูกระบบในครั้งนั้น รวมทั้ง สะพานใหม่ที่เค้าสร้างคู่ขนานไป
นอกจากนี้ ใกล้ๆกันยังมีการจัดแสดงรถไฟจริงๆที่โดนระเบิดเวลานั้น รวมถึงระฆังสันติภาพอีกด้วยด้านล่างเมื่อเดินไปจนสุด จะเห็น ผ้าที่ถูกเขียนด้วยภาษาเกาหลี ผูกอยู่เต็มไปหมดน่าจะหมายถึงอยากให้สันติภาพเกิดขึ้นและกลับมารวมกันอีกครั้ง
บริเวณซากรถไฟขนาดใหญ่ที่ถูกระเบิดเวลานั้นเป็นที่น่าสนใจกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก มีเด็กๆมาทัศนศึกษาด้วย
เดินชมครบแล้วผมก็กลับมายัง จุดนัดพบ ในแต่ละจุดผมพยายามฟังไกด์ เพราะกลัวตกรถถ้าฟังผิด หรือบริเวณไหนที่เค้าห้ามอะไร ผมต้องใช้สมาธิในการแปลเป็นพิเศษ
เนื่องจากทัวร์ DMZ นี้ไม่มีอาหารให้ เวลายังพอมีผมจึงเดินหาอะไรเพื่อรองท้อง ก่อนจะไปต่อ ก็ไปโดนไก่ย่างบาบีคิวไม้นึงเข้าให้ รสชาติใช้ได้เลย
อิ่มแล้วก็กลับมารอจุดเดิม ตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่าเรารออะไร เรารอขึ้นรถของทางการเกาหลีเองซึ่งไม่ใช่คันเดียวกับรถของทัวร์ เหมือนกับว่า ต้องเข้าไปด้วยทัวร์ที่จัดให้ซึ่งจะเป็นรอบๆเท่านั้น
ได้เวลารถออกรอบบ่ายสอง จะเป็นรถบัสขนาดใหญ่ มีนักท่องเที่ยวมากมาย แต่ไกด์ก็จะไปกับเราด้วยและคอยอธิบายเรื่องราวต่างๆเป็นภาษาอังกฤษให้ โดยจุดแรกที่จะผ่าน เป็นจุดตรวจpassport ตรงนี้ใครลืม passport จะเข้าไม่ได้ครับ จะมีทหารเกาหลีขึ้นมาบนรถและไล่ตรวจตราทีละคน ซึ่งไกด์บอกว่าห้ามถ่ายรูป จบคำบอกกล่าวปุ๊บหนุ่มจีน ควักโทรศัพท์มาถ่ายรูปจนไกด์ต้องเอามือคว้าเกือบไม่ทัน
หลังจากตรวจความเรียบร้อย แล้ว ตรงนี้เราได้ข้ามแม่น้ำ Imjing มาแล้วซึ่งก็คือเขต DMZ zone ของเค้า ด้านในเป็นเหมือนเมืองๆนึง มีการทำการเกษตรปกติ มีบ้านเรือน แต่ก็ดูเงียบๆคนไม่พลุกพล่าน ถนนแปดเลนแต่ไม่มีรถวิ่ง เพราะเค้าไม่อนุญาตให้รถส่วนบุคคลเข้าไป มีค่ายทหารด้วย ฝั่งนี้ไกด์ของเราบอกห้ามถ่ายรูป
แล้วรถก็เลี้ยวเข้ามายัง Dorasan Station สถานีรถไฟสุดท้ายก่อนจะข้ามไปเกาหลีเหนือ สถานีรถไฟนี้ถูกสรา้งขึ้นโดยหวังว่าวันนึงพวกเขาจะมีสัมพันที่ดีขึ้นและมีรถไฟวิ่งหากัน ซึ่งทางการเกาหลีใต้เตรียมสถานีนี้ไว้อย่างดีพร้อมเปิดตลอด เพราะจากที่ดูอุปกรณ์ครบครันจริงๆ ขาดก็แต่ผู้โดยสารนี่แหละ ทำให้ดูเป็นสถานีร้างไปเลย
ไกด์พาซื้อตั๋วเพื่ออกมายังชานชลา เป็นชานชลาที่ใหญ่โตแต่ว่างเปล่า มีป้ายชี้ทิศทาของเปียงยางรวมทั้งแจ้งระยะทางเอาไว้ด้วย
ตาแว่นนี่แหละครับไกด์ของเรา เขาชวนถ่ายรูปอยู่เสมอพร้อมสรา้งสรรค์ท่าให้กับลูกทัวร์ 5555 เลยจากจุดนี้ไปไม่กี่ร้อยเมตรก็จะเป็นเกาหลีเหนือและ ยิ่งคิดยิ่งเสียใจที่ตกทัวร์ JSA
ไม่นานเราก็ต้องรีบกลับขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป นั้นคือ จุดส่องเกาหลีเหนือ บนยอดเขาโดราเอมม่อน ซะเมื่อไหร่ โดราซาน
ส่องเกาหลีเหนือแล้วไปดูรูที่เขาขุด
ระหว่างขึ้นเขามา เราเข้าเขตทหารจริงๆจังๆ ข้างทางขึ้นเขาจะมีลวดหนามกั้นไม่ให้ออกนอกเส้นทางพร้อมกับคำเตือนรูปหัวกะโหลกเขียนว่า MINE อ้อสงสัยมีการทำเหมือนแร่บริเวณนี้ จึงห้ามเข้าแน่เลย 55555
อ้อ เค้ามีกล้องไว้ให้บริการด้วยนะ หยอดเหรียญแล้วส่องกันได้ตามใจชอบเลย 55555
เลนส์ไวด์เห็นได้แค่นี้แหละ 5555
จุดต่อไปถือว่าเป็นไฮไลท์ของทัวร์ DMZ ก็ว่าได้ นั้นคือ พาไปดูรู รูที่ว่าไม่ใช่รูหนู รูแมวนะครับ คือรูที่เกาหลีเหนือเป็นคนขุด ได้ยินแบบนี้คงคิดว่ามันน่าดูตรงไหนรูเล็กๆเนี่ย
เจ้ารูนี้ มีชื่อเต็มๆว่า The 3rd Tunnel เป็น Tunnel ที่แปลว่าอุโมงค์น่ะแหละแต่ผมขอเรียกรู อิอิ รูนี้เป็นรูที่สาม เป็นรูที่เกาหลีเหนือขุดเพื่อส่งทหารลอบเข้ามายังฝั่งเกาหลีใต้ คิดว่าสั้นๆหรอครับ ปล่าวเลย ยาวกว่า 1.6 km แต่มีความสูงแค่สองเมตรเท่านั้น กว้างพอคนเดินได้สองคน ที่นี้เค้าห้ามถ่ายรูปด้านในเด็ดขาด เราจต้องฝากอุปกรณ์ แล้วสวมหมวกกันกระแทรกเพื่อลงไปสำรวจ
เส้นทางสำรวจ สามารถไปได้สองทางคือ เดินหรือนั่ง monorail ซึ่งจะใช้เวลาน้อยกว่าในการลงไปด้านล่าง ส่วนด้านล่างเป็นยังไงก็ตามรูปข้างล่างครับ รูปจากเว็บการท่องเที่ยวเกาหลี สุดทาง จะมีผนังปูนสามชั้น มีช่องส่องเล็กๆ มองเข้าไปได้ครับ นั้นแหละประเทศเกาหลีเหนือ 55555
สาระเพิ่มเติมสำหรับเจ้ารูนี้ รูนี่ถือเป็นรูที่สามครับ จากที่ค้นพบทั้งหมด ห้ารู ตลอดชายแดน ไม่รู้มีรูอื่นอีกไหม คือกะว่า ขุดแล้วโผล่ขึ้นมาบุกเกาหลีใต้ได้เลย 555 แต่เจ้ารูนี้ดังที่สุดเพราะห่างจากโซลศูนย์กลางเกาหลีใต้แค่ 44 โลเท่าน้านนนนนนนนน โอ้
กลับออกมาด้านนอก ถ่ายรูปสักหน่อย ภาพด้านล่างเป็นสถานีสำหรับรอรถ monorail ลงไปด้านล่างครับ อุโมงค์เล็กๆนั้นแหละครับ ฮ่าๆๆๆ ไกด์พานั่งเพราะเวลาเราน้อยครับ กลับขึ้นมาเรามีเวลาอีกหน่อย เค้าพาเข้าห้องฟังประวัติครับ ประวัติแบบที่ผมเล่าไปแหละ รวมถึงวีธีการค้นพบด้วย แต่อันนี้ฟังไม่ออกจริงๆว่าเค้าเจอเจ้ารูนี่ได้ไง 5555
คิดว่าหมดแล้วใช่ไหมครับ สำหรับทัวร์วันนี้ ป่าวเลย สิ่งที่ทัวร์ทุกทัวร์ต้องมีคือแวะร้านของฝาก หลักๆของฝาก DMZ จะเป็นพวกพวงกุญแจทหาร แต่ไม่สวยเลยยยยย อ้อ ของกินก็จะเป็นช็อกโกแลต ที่ผลิตโดยชาวบ้านที่อาศัยที่นี่ ไม่ได้กินเงินผมหรอก ยืนรอต่อปายยยย 5555
ตอนนี้ก็เย็นแล้ว รถจากบริษัททัวร์มารับเรากลับโซล ระหว่างทางซึ่งถือเป็นเย็นวันศุกร์ รถติดครับ ไม่ต่างจากกรุงเทพเลยยยยย ติดยาวมากๆๆๆๆ ง่วงด้วยเลยหลับๆตื่นๆไป ไม่ได้เก็บรูปเลย
แต่บรรยากาศริมน้ำฮัน ที่รถบัสขับเลียบกลับโซลนั้นสวยมากครับเค้าปรับปรุงเป็นที่พักผ่อนเหมือนสวนสาธรณะ มีคนมาเกงเต้นท์นอนด้วย มีห้องน้ำ มีสโลปสำหรับผู้พิการ มีคนวิ่ง มีคนปั่นจักรยาน อยากแวะจริงๆเลย
จนแล้วจนรอดจะหกโมงแล้วก็มาถึงโซล ไกด์พาเข้าร้านพลอยตามฉบับทัวร์อีกจุด แต่ผมไม่ได้เข้า สงสารไกด์เหมือนกันนะครับ ไม่มีใครสนใจ 555 ตลกตัวเองตอนแรกนึกว่าถึงแล้ว ตื่นมาตะลีตาเหลือกขนกระเป๋าเดินทางลงจากรถ อ่าววว ไหงลูกทัวร์คนอื่นมองแปลกๆ มองป้าย อ้อศูนย์พลอย ลืมเลยว่าจะต้องแวะ อายเอากระเป๋ากลับขึ้นรถ
ระหว่างรอท่านอื่นดูพลอยนั้น ก็เอากูเกิ้ลแมบมาเปิด เห้ยใกล้ๆนี่เองโฮสเทลสำหรับคืนสุดท้าย เลยส่งให้ไกด์ดูตอนที่ขึ้นรถมาแล้ว เค้าเลยปล่อยเราลงสักที่นึง กระเป๋าเดินทางหน้าหลัง หนักมาก เดินเตร็ดเตร่ในสวนแห่งหนึ่ง ไกด์บอกคุณนั่งแทกซี่ไปนะใกล้ๆนี่ แต่เราไม่ ขอsubway กับเดินเท่านั้น 555 ก็เดินเลยครับเดินไปหลงไป คนเลิกงานแล้ว คนออกมาพักผ่อนริมแม่น้ำ ของกินก็มีอยากจะแวะ แต่ด้วยกระเป๋าสองใบหน้าหลัง มันทำให้ผมต้องไปยังโฮสเทลก่อน
คลำทางนานสองนาน จนมาถึง Subway สักที ก็ขึ้นมาลงสถานี mapo ซึ่งใกล้เพียงแปดนาทีจากที่พักเท่านั้น ที่เหลือคือเดิน เดินออกมาปุ๊บเห็นถนน แทบจะเอามือกุมขมับ ชันมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก โอยยยชีวิตต้องสู้จริงๆ เดือนเกือบห้าร้อยเมตรเห็นจะได้กับทางชันๆๆ สุดๆไปเลย 5555
Han River Residence & Guesthouse นี่สิเรียลลลลลล โฮสเทลบ้านพักเยาวชนของจริง
มาถึงจนได้โฮสเทล Han River Residence & Guesthouse นาทีแรก เฮ้ย คนนี้นี่สตาฟของ G Guesthome นิ มาทำไรที่นี่ ปล่าวจริงๆหน้าเขาเหมือนกัน เอ๊ะหรือผมแยกหน้าตาคนเกาหลีไม่ออก 555 ที่นี่ได้รับการต้อนรับจากสตาฟเหมือนเดิม และมารู้ทีหลังว่ามีบริการรับส่งนะได้วันละครั้งเท่านั้น แต่เราไม่ได้แจ้งเค้า พลาดเลย 555
ที่นี่เหมือนบ้านพักเยาวชนจริงๆครับ ไม่สะอาดเท่าที่แรก มีผ้าเช็ดตัวปลอกหมอนให้ ในห้องหกเตียงที่ผมจองไปมีห้องน้ำในตัว มีซิ้งค์ด้วย ใช้อะไรต้องล้างเองเหมือนเดิม ผ้าต่างๆเมื่อใช้เสร็จต้องเอาลงมาใส่ตระกร้าด้วย ขยะถ้าเต็มเหมือนจะต้องเอาไปทิ้งด้วยนะ บริการตนเองสุดๆ
ที่ไม่พลาดอีกอย่างคือเตียงบนอันแสนปีนลำบาก ซึ่งชะตาได้กำหนดมาแล้วเท่านั้น 5555 ปีนขึ้นไปเก็บข้าวของ ลงมาอาบน้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็รีบขึ้นไปนั่งเล่นบริเวณชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่ที่ผมเลือกมาพัก แล้วก็จริงครับ สวยลมเย็นสบายๆ ชอบมากๆเลย มานั่งดูพระอาทิตย์ตกบนนี้ บรรยากาศสบายๆ แต่เอ๊ะ ลืมอะไรหรือเปล่าอาหารเย็น 555 ครับ ผมยังไม่ได้กินไรเลยตั้งแต่ไก่ไม้นั้น ดียังมีเยลลี่ในกระเป๋าจึงพึ่งพาเจ้านี่แหละ เพราะตอนแรกกะออก ตอนนี้ไม่ไหวและ ขี้เกียจมากๆๆๆๆ คงเพราะ โฮสเทลนี้ไกลจริงๆ เอาเป็นว่าไม่ออกละกัน
วิวยามเย็นที่เห็นแม่น้ำฮันถึงจะมีตึกมาบัง แต่ก็ของจริง ลมดีอากาศดี ฟินจริงๆ
นั่งเล่นดูรูปบ้าง วางแผนบ้างจนเริ่มมืด มีหญิงวัยกลางคนจำชื่อไม่ได้ คนนึงเธอเป็นคนจีน เขามาทักและเห็นผมเปิดแผนที่จึงชวนผมคุย เธอเป็นชาวเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน พึ่งมาโซลเนี่ยแหละ เธอไปมาหลายประเทศแล้วแต่ยังไม่เคยไปไทย สำหรับไทยแล้วเชียงใหม่ดังมาก แต่เธอบอกว่า ข่าวโจรเยอะเธอเลยกลัวๆ ผมก็อายนะครับ ว่าบ้านเราอาจจะไม่ปลอดภัยเท่าที่นี่ แต่ก็ชวนให้เธอมาสักครั้ง ขอแค่ระวังตัวแค่นี่ก็เที่ยวสนุกแล้ว
เธอชวนผมคุยไปเรื่อยเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในโซล ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง เหมือนเดิม จนมืดแล้วเธอก็ขอตัวกลับลงไปยังห้องพัก และก็ถึงเวลาที่จะบอกลาคืนสุดท้ายในโซลของผมเช่นกัน ผมรีบเข้านอนก่อนพลังงานจากเยลลี่จะหมด อิอิ
หมดไปอีกวัน คืนสุดท้าย วันที่สามในโซล วันนี้เหนื่อยมาก คร๊อกกกกก zzzzzz
เช้าวันสุดท้ายยยยยยยย
วันนี้จะเป็นวันปิดทริปของผม วันสุดท้ายในโซล เมื่อคืนหลับสบายครับ ตื่นขึ้นมาก่อนคนอื่นเขาเหมือนเดิมอาบน้ำเตรียมเช็คเอ้า ลงมาด้านล่างเจอหญิงจีนคนนั้น ทักทายกันตามประสา อ้อผมเหลือมาม่าอีกป๋องจึงให้เธอไป เธอดีใจครับ ผมขอเมลเธอไว้ หากไปเซี่ยงไฮ้จะให้เธอพาเที่ยว เธอเช็คเอ้า และใช้บริการรถรับส่งก่อนผม สตาฟจึงไปส่งเธอก่อน
ผมใช้เวลานี้ในการ ยัดขนมปังทาแยมของโฮลเทลเพื่อขจัดความหิวที่มื้อเย็นเมื่อวานไม่ได้กินอะไรหนักๆ 555 ก็ได้เวลาร่ำลาที่พักอีกที่ ที่ให้ผมพักพิงกับวิวสวยๆบนชั้นดาดฟ้า สตาฟมาส่งผมถึงสถานี subway แต่วันนี้ผมจะเดินเที่ยวทั้งๆที่หอบกระเป๋าใหญ่ยักษ์มาด้วยก็กะไร จัดแจ้งหาตู้ฝากกระเป๋าที่ Seoul station
ใช้งานไม่ยากครับ เช่าขนาดกลางตู้ริมๆน่ะแหละ สามชั่วโมงสามพันวอน เอาของมาฝากไว้ จะได้ตัวปลิวไปเที่ยวได้อย่างสนุก แล้วเดี๋ยวค่อยมาแวะเอาก่อนไปสนามบิน
รำลึกถึงวีรชนคนกล้าพร้อมทั้งศึกษาประวัติศาตร์ล่าสุดของเกาหลีที่ War Memorial
เมนูเช้าวันนี้ผมจะไปยัง War Memorial โดยพื้นเพแล้วผมเป็นคนชอบอาวุธยุทโธปกรณ์ อยู่แล้วครับ จึงอยากมาในที่ที่ทัวร์ไม่พามานั้นคือ War Memorial ขึ้นsubway มายังสถานี Samgakiji ทางออก 12 เดินออกมาอีกนิดก็จะเห็นอาคารขนาดใหญ่ซ้ายมือ ที่นี่เปิด เก้าโมงซึ่งก็เป็นเวลาที่ผมมาถึงพอดี
แดดวันส่งท้ายนี้ยังแรงเหมือนเดิม ผมไล่เลยละกัน ไล่เดินตั้งแต่ส่วนจัดแสดงอาวุธ ด้านนอกก่อน มีรถถังเครื่องบินปืนใหญ่ และอาวุธอื่นๆที่ร่วมในสงครามเกาหลีทั้งสองฝ่าย พร้อมคำบรรยาย ให้เราทราบ
ที่นี่เป็นสวรรค์ ของคนชอบอาวุธจริงๆครับ ในส่วนการแสดงด้านนอก มีมากมายจริงๆ รูปเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ
พอก่อนเดี๋ยวเปลืองแบนวิดท์ 555 แดดแรงๆแบบนี้ ทำให้ร้อนเหมือนเดิม จบจากการแสดงกลางแจ้ง ก็เข้าไปด้านใน หลังจากนี้จะเป็นของเรื่องราวประวัติศาตร์เกาหลีที่พึ่งเกิดไม่นาน
เกี่ยวกับการจัดแสดงไฮไลท์ของที่นี้คือห้อจัดแสดง สงครามเกาหลี จำนวนสามห้อง ห้องจัดแสดงสงครามโบราณ ห้องจัดแสดงเกี่ยวกับทหารเกาหลีในยุคปัจจุบัน ที่นี่เข้าชมฟรีครับ
ผมเริ่มก่อนเลยเก็บเกี่ยวจากห้องสงครามเกาหลีทั้งสามห้อง ทั้งสามห้องมีขนาดใหญ่ครับ จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเกาหลี ซึ่งพึ่งเกิดเมื่อประมาณห้าสิบปีผ่านมานี่เอง ผมจะเล่าคร่าวๆ ประกอบรูปไปเรื่อยๆครับ
เอาตามที่ผมเข้าใจนะ หลังจากยุคกษัตริย์ ญี่ปุ่นเข้าปกครองเกาหลีเป็นอาณานิคม จนมาถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นแพ้ให้กับสัมพันธมิตร เมื่อญี่ปุ่นหมดอานาจ เกาหลีก็เป็นอิสระ แต่แล้วความเห็นของพวกเขาแตกต่าง ฝ่ายนึงเห็นกับคอมมิวนิส อีกฝ่ายเห็นกับประชาธิปไตย
ผู้นำทั้งสองฝ่ายมีมหาอำนาจ ณ เวลานั้นหนุนหลัง คือ สหรัฐอเมริกา กับจีนและโซเวียต จะเรียกสงครามตัวแทนก้ได้ครับ
แรกเลย เกาหลีเหนือเกือบชนะเพราะว่า มีเพียงกองร้อยเล็กๆเท่านั้นของอเมริกาที่ประจำในโซลหลังจบสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ฝ่ายเกาหลีใต้โดนตี ยันไปสุดที่ปูซานเกือบตกทะเล จน UN เข้ามาช่วยและประกาศร่วมสงคราม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีไทยเราด้วย จนตีคืนไปไต้ จนทหารเกาหลีเหนือเกือบหายไปจากประเทศเหมือนกัน จนจีนเข้าร่วมสงครามและผลักกันกลับมา
สุดท้ายเหมือนเดิม มาจบตรงเส้นขนานที่ 38 ที่ผมไปมาเมื่อวานอ่ะแหละ แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ลงนาม หยุดยิงที่ JSA หมู่บ้าน ปันมุมจุงไรนั้นแหละ ปัจจุบัน เค้ายังถือว่าอยู่ในสงครามนะ แค่หยุดยิงเท่านั้น
จบสาระของผม 555 พึ่งมาหาสาระในตอนท้ายนี่แหละ แต่ยอมรับจริงๆครับ เห็นรูปแล้ว สมัยนั้นเกาหลีใต้ไม่เหลืออะไร แต่ระยะเวลาห้าสิบปี เค้าแกร่งขึ้นมาขนาดนี้แซงหน้าเราไปแล้วววว
ในห้องสุดท้าย ผมมายืนอยู่ห้องจัดแสดง ประเทศที่เข้ามาช่วยเหลือเกาหลีใต้ หนึ่งในนั้นคือไทยครับ มันทำให้เราภูมิใจ และทำให้เราเข้าประเทศเค้าได้โดยไม่ต้องทำวีซ่า ขอบคุณทหารกล้าทุกท่านครับ จนเขายกย่องให้ฉายาเราว่า Little tiger
หลังจากจบจากห้องสงครามเกาหลีแล้วผมก็เดินต่อเรื่อยๆทั้งห้องสงครามโบราณ และห้องทหารเกาหลีในปัจจุบัน รวมทั้งจุดไว้อาลัย เพื่อร่วมไว้อาลัยกับทหารที่เสียชีวิต
หมดแล้ววว ใช้เวลาไปพอสมควรกับ war memotial สรุปว่าไม่ว่าใคร สามารถมาที่นี่ได้ครับมาศึกษาประวัติศาสตร์ ที่นี่เค้าทำดีจริงๆ มีห้องจำลองสี่มิติด้วย เอาเทคโนโลยี มาดัดแปลงให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์เค้ามากขึ้น ดีครับ
ทีนี้หลังจากเดินเกือบครึ่งวัน ขนมปังในท้องหมดลงไปแล้ววว ใกล้ๆกันมีศูนย์อาหาร ก็จัดสิครับเติมพลัง ชี้นู้นชี้นี้ จบจัดไป หนึ่งชุด อิอิ
อิ่มแล้ววววว เวลายังเหลือ เทียวบินของผมคือตอนสองทุ่ม ผมจึงไปหาที่เดินเล่นต่อ
มรดกโลกกับ Changdeokgung Palace และหมู่บ้าน Bukchon hanok
จุดสุดท้ายที่ผมจะพาไปเดินเล่น ก่อนที่จะกลับคือ พระราชวังชางด็อก ออกเสียงถูกไหมหว่า กับหมู่บ้านบุชน บริเวณที่ผมไปในวันที่สองนั้นแหละแต่ไม่ได้เดิน
พระราชวังชางด๊อกเดินค่อนข้างไกลจากสถานี เสียค่าเข้าสามพันเท่าเดิม ถ้าจะเข้าสวนลับพีวอนต้องเสียอีกห้าพันวอน แต่ผมมีเวลาไม่เยอะ จึงขอแค่พระราชวังชางด๊อกละกัน
เอาตามตรงสำหรับที่นี้ผมว่า ขนาดไม่ใหญ่ไม่ตื่นตากับที่ไปวันที่สอง พระราชวังเคียงบกครับ เหมือนพื้นที่จะน้อยกว่า แต่ไม่รู้ว่าจุดเด่นของเค้าคือสวนบีวอนหรือเปล่า เพราะไม่ได้เข้าไป สถาปัติยรรกมก็ยังคงคล้ายกันกับเคียงบก ไม่มีอะไรแตกต่างครับ
วันนี้แดดยังคงแรงครับเผาผลาญได้ดีมาก แต่น้องๆในชุดฮันบกไม่ย้อท้อ มีมาเรื่อยๆๆ เดินได้พักนึงก็พักหาน้ำเย็นๆกิน ร้อนจริงๆ
จบจากพระราชวังชางด๊อก ผมยังมีเวลาอีกหน่อย ก่อนจะนัดสมาชิกที่บินขามาพร้อมกัน เพื่อซื้อของฝากกลับออฟฟิต ที่ห้างล๊อตเต้ ตรง Seoul station ผมจึงเลือกขอเดินเล่นหมู่บ้านบุชนข้างๆวังนี่แหละ
หมู่บ้านบุชนนี้ เป็นชุมชนที่ เค้ายังอนุรักษ์บ้านสไตล์ดั้งเดิมเอาไว้ แต่ก็ยังใช้เป็นที่อยู่อาศัยจริง สำหรับนักท่องเที่ยวท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชม ก็ต้องให้ความเคารพสถานที่ไม่ใช้เสียงดังจะรบกวนผู้คนในบ้าน
ตลอดเส้นทางจะคล้ายๆเชียงคานบ้านผม คือเป็นบ้านเรือนเก่าให้เดินเล่น แล้วมีร้านค้าแนวๆมาเปิดขายของ มีหนม กาแฟก็มี วัยรุ่นเดินย่านนี้พอสมควรเลย แต่ในการเดินย่านนี้อาจจะต้องเตรียมแรงมาพอสมควร เพราะ บางจุดก็มีความชันต้องเดินขึ้นเนินตามระเบียบ
บริเวณหมู่บ้านบุชนนี้ หากมาเดินตอนเย็นน่าจะดีกว่า จะได้ไม่เจอแดดร้อนๆ จะเดินได้ชิวกว่าครับ
จบทริปก็ได้เวลาเดินทางกลับ ขากลับแวะห้าง Lotte mart ห้างใหญ่สาขา Seoul station ใจกลางเมือง ที่นี่เหมือนบิ๊กซีโลตัสบ้านเรา ของกินของใช้เต็มไปหมด ตุนของเรียบร้อยก็ได้เวลา เดินทางกลับไปยังสนามบินอินชอนจุดเริ่มต้นของทริป ทริปนี้
จุดสิ้นสุดคือจุดเริ่มต้น
หลังจากที่ช็อปปิ้งซื้อหนม นมเนย ของฝากเรียบร้อย ผมกลับมายังล๊อกเกอร์ แต่ดันเข้าผิดช่องต้องแตะบัตรออกมาอีกทางทำให้เสียเงินฟรีๆ มาถึงล๊อกเกอร์รับกระเป๋าเรียบร้อย การเดินทางกลับสนามบินผมยังใช้รถไฟฟ้า Subway เป็นพาหนะ
เมื่อมาถึงสถานี ผมเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปยังจุดเช็คอิน ก่อนจากโซลผมได้ทิ้งท้ายเสียงหัวเราะให้คนเกาหลีสองคนที่เดินตามผมมา ปกติบันไดเลื่อนที่เกาหลี ก่อนขึ้นหรือลงจะมี เสาตรงกลาง เพื่อกั้นไม่ให้คนเอารถเข็นผ่าน เนื่องด้วยผมสะพายกระเป๋าทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ประกอบกับมัวแต่มองหาเค้าเตอร์ไม่ได้มองด้านหน้า จึงเดินไหลไปปตามทาง ผ่านกลางเสาเข้าที่กลางเป้า เดินมาแล้วเดินมาเลย ข้ามไปเลยรอดหวุดหวิด ทำให้ชาวเกาหลีที่เดินตามมาฮาไปตามระเบียบ ส่วนผมอายสิครับ 555555 ถ้าสูงกว่านี้จุกหน้าเขียวแน่
เช็คอินเรียบร้อย เกตที่ได้ ไกลสุดอีกแล้ว ต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปอีกเทอมินอล นั่งรอมีที่ให้ชาร์ตแบต คนไม่เยอะมาก ขากลับเครื่องโหลดไม่เต็ม ที่โชคดีคือ แถวทั้งสามตัวเรานั่งคนเดียว สบายใจ
บ๊ายบายเกาหลี บ๊ายบายโซล ขอบคุณที่สร้างประสบการณ์ให้ ถ้ามีโอกาส จะกลับมาอีก อยากมาในหน้าหนาวบ้าง อยากเห็นหิมะ อิอิ
ขอบคุณที่อ่านกันจบครับไว้เจอกันทริปหน้า ไปไหนดี 55555……………………………..