ก่อนที่จะเริ่มการเดินทาง ผมขอเพ้ออะไรเล็กน้อยเพื่อให้ทราบที่มาที่ไปของประเทศนี้ ไต้หวันมีอะไร ทำไมต้องไปไต้หวัน บทความพาเที่ยวนี้จะตอบคำถามในตัวมันเอง ก่อนอื่นเราจะเริ่มย้อนกลับไปศึกษาประวัติของประเทศนี้กันก่อนเพื่อให้รู้พื้นเพของประเทศแห่งนี้
- ประวัติ ความเป็นมา
ถ้าถามถึงไต้หวัน หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้จักหรือเข้าใจว่าเป็นเมืองหนึ่งของประเทศจีน แต่จริงแล้ว ไต้หวันไม่ใช่จีนซะทีเดียว จากที่ได้อ่านข้อมูลมา ก่อนจะเป็นไต้หวันปัจจุบัน
ในอดีตเกาะแห่งนี้ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นเคยยึดมาจากจีนและเข้ามาปกครองเกือบร้อยปี จนถึงญี่ปุ่นแพ้สงครามจึงคืนเกาะให้กับจีน หลังจากนั้นจีนเกิดขัดแย้งเรื่องอุดมการณ์การปกครอง ระหว่างเจียงไครเช็คและเหมาเจ๋อตุง เจียงไครเช็คเป็นพรรคประชาธิปไตย พ่ายให้กับเหมาเจ๋อตุงพรรคคอมมิวนิส เจียงไครเช็คจึงย้ายผู้คนและทรัพย์สินเงินทองจากพระราชวัง มาที่เกาะไต้หวัน และก่อตั้งรัฐบาลที่นี่
หลังจากนั้นไต้หวันได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา แต่สุดท้าย จีนแผ่นดินใหญ่ที่ปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสได้ดำเนินนโยบายจีนเดียว ซึ่งหากใครคบค้ากับจีนแผ่นดินใหญ่ห้ามนับ จีนไต้หวันเป็นประเทศ ด้วยอิทธิผลของจีนแผ่นดินใหญ่ทำให้ในเวทีสหประชาชาติ ไม่มีไต้หวันเป็นประเทศสมาชิก แต่ไต้หวันเองก็พยายามผลักดันตัวเองให้อยู่ในเวทีโลก และพัฒนาประเทศจนอยู่อันดับต้นๆของเอเชีย
ปัจจุบันไต้หวันและจีน มีการคบค้าสมาคมไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจหรือการท่องเที่ยวซึ่งต้องพึ่งพากัน และในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอื่นๆ ไต้หวัน จะเข้าไปตั้งศูนย์เศรษฐกิจไทเป แทนที่จะตั้งสถานฑูต แต่ก็หน้าที่เหมือนกัน หากเราจะขอวีซ่าก็ต้องมาที่นี่เช่นเดียวกัน
จากความเป็นมาด้านบนไต้หวันจึงมีจุดแข็งหลายๆ อย่างเช่น ความมีระเบียบวินัยและความเป็นมิตร จากญี่ปุ่น ภาษาจีนซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกใช้กัน ทองคำที่เจียงไคเช็ค นำมาตั้งตัวและทำได้ดีด้วย อุตสาหกรรมเจริญเติมโต มีแบรนด์เป็นของตัวเองที่เป็นที่รู้จักเช่น ACER ASUS HTC เป็นต้น
อื่นๆ สำหรับประเทศนี้ที่ได้ยินมาคือ เวลาคนไทย ไปทางยุโรป คนที่นั้นมักเข้าใจว่าไทยกับไต้หวันเป็นประเทศเดียวกันไม่รู้ทำไม และหากถามว่าคนไต้หวันเป็นคนจีนใช่ไหม คนจะบอกว่าเขาเองเป็นคนไต้หวันไม่ใช่คนจีน แยกแยะด้วยๆ 555
ซึ่งสรุปย่อๆเลย ไต้หวันคือจีนที่มีระเบียบวินัย มารยาท ความเป็นมิตรแบบญี่ปุ่นนั้นเอง
- เป้าหมายในการเดินทาง
สำหรับทริปนี้ประกอบด้วยแก๊งเดิมแก๊งเดียวกับที่ไปสิงคโปร์ เอ เอ้ เต้ ก่อนการเดินทาง พวกเราได้กำหนดทีหมายในรอบนี้มุ่งมั่นว่า ไต้หวันนี้แหละคือจุดหมายปลายทาง
การไปต่างประเทศของพวกเรารอบนี้ น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับพวกเราอย่างมาก อย่างครั้งก่อนเราเดินทางเองวางแผนเองจัดว่ามันส์แล้ว รอบนี้ เราไม่ได้อยู่แค่เมืองหลวง เราจะออกต่างจังหวัด เราจะนั่งรถไฟความเร็วสูง นั่งรถเมล์ นั่งเรือ ปีนเขา ไหว้พระ เที่ยวย่านใจกลางเมือง ชมเมืองที่สงบในขุนเขา ยืนเกร็งบนหน้าผา ท่ามกลางกระแสลมแรงของทะเลแปซิฟิก เดินตลาดกลางคืน หลากหลายรสชาติจริงๆ 5555
- สายการบินและโรงแรม
เรารอสายการบินออกโปรโมชั่น ซึ่งทางเลือกสายการบิน low cost มี VAIR แล Tiger (ปัจจุบันมี นกสกูตแล้ววว) ซึ่ง VAIR เวลาดีกว่าและโปรออกบ่อยมาก
พวกเราได้จอง VAIR สายการบินสไตล์น่ารักมีมาสคอตเป็นหมี ซึ่งน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไต้หวัน กับโปรราคา 3300 กว่าๆเท่านั้น และซื้อสัมภาระขากลับเพิ่มคนละ 5 kg สำหรับซื้อของฝาก
สำหรับ VAIR เป็นสายการบิน low cost สายการบินลูกของ transasia บินด้วยเครื่อง airbus a320 รุ่นยอดนิยมจัดที่นั่ง 3-3 ซึ่งวันที่เราเดินทางคือ 01:15 ของวันศุกร์ ถึงไต้หวันเวลา เช้าพอดีประหยัด เวลาและ รร. 1 คืน ส่วนวันกลับเที่ยวทั้งวันค่อยกลับ แต่ข้อเสียคือ เวลากลับถึงไทยดึก ต้องออกจากดอนเมือง ด้วยแทกซี่หรือรถส่วนตัวเท่านั้น
สำหรับการจองที่พัก ที่พึ่งอันดับต่อมาของเราคือ agoda เจ้าเดิม คราวนี้แปลกกว่าครั้งที่แล้ว เพราะเราจะไปนอน ตจว. 1 คืนและนอนไทเปเมืองหลวงอีกสองคืน เราจึงต้องจองไปสองที่ ต้องตรวจสอบว่าไกลจากป้ายรสเมล์มากแค่ไหน มีอาหารเช้าหรือเปล่า ดูรีวิวต่างๆ คะแนนความนิยม สำหรับที่พักสองโณงแรมสามคืน เราจ่ายไปเพียง 3300 บาท รวมอาหารเช้า
- แผนการเดินทาง
ครั้งนี้ผมเตรียมแผนการเดินทางรวมถึงทำการบ้านอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น pantip google หรือจะเป็นน้องสายรหัสของเอ้นามว่าวิว รวมถึงไกด์ชาวไต้หวันที่นิยมชมชอบประเทศไทยพูดไทยได้นิดหน่อยอย่างเคนจิ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของทริปที่ทำให้จบด้วยดี จึงได้แผนคร่าวๆ ออกมา และอัตราแลกเปลี่ยนที่เราเดินทาง 1.135 NT = 1 บาทไทยซึ่งไม่ต่างเท่าไหร่ครับ
สำหรับท่านที่สนใจแผน ผมได้แนบไฟล์ไว้ให้คลิก Plan หรือข้อมูลอย่างระเอียดติดต่อขอรอบนอกได้ครับ
- VISA
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับไต้หวันคือ วีซ่า วีซ่าสามารถยื่นเองหรือให้ตัวแทนไปยื่นก็ได้ จากประสบการณ์ของเต้ ผู้ไปยื่นวีซ่าไปถึง 9 นิดๆ รอคิวยื่นบ่ายโมงครึ่ง ส่วนเอ้ผู้ไปรับวีซ่าไปถึงบ่ายโมง รอคิวถึงบ่ายสามโมง ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมวีซ่าอยู่ที่ 1500 บาท แต่ถ้าให้แนะนำจ้างยื่นสะดวกดีครับเห็นค่าบริการต่อคนตกประมาณ 500 บาท ส่วนเอกสารต้องใช้อะไรบ้างทำอย่างไร หาได้ตาม google ครับ 5555
Link เพิ่มเติม :http://www.taiwanembassy.org/TH/ct.asp?xItem=642122&ctNode=1813&mp=232
- ดอนเมืองจุดเริ่มต้นของนักเดินทางกลุ่มนี้
เราสามคนนัดเจอกันที่สนามบินดอนเมืองตอนสี่ทุ่มครึ่ง ผมซึ่งบ้านอยู่ไกลมาก จำเป็นต้องไปที่สุวรรณภูมิก่อนและต่อรถ shuttle bus ฟรีเพียงแสดงเอกสารเที่ยวบินที่สนามบินดอนเมือง ผมมาทัน shuttle bus รอบ สามทุ่ม บนรถมีผู้โดยสารเพียงสองคนรวมผม รถถึงเวลาออกเป๊ะ 4 ทุ่ม ก็มาถึงดอนเมือง นั่งคุยกันสักพักเราก็ทำการ check in เพื่อเข้าไปด้านใน ตอนที่ตรวจตราวัตถุต้องสงสัย ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น
เอ้ต้องแสกนกระเป๋าถึงสามรอบเนื่องจากมีวัตถุต้องสงสัย นั้นคือครีมนีเวีย ขนาด 130 Ml. ซึ่งมันพลาดครับไม่ได้ดูขนาดมาขนาดเกิน 100 จึงจำเป็นต้องทิ้งทั้งๆที่ซื้อมาใหม่ 5555
ด้านในระหว่างรอเครื่อง เราก็พลางชาร์ตแบตพลางคุยกันเรื่อยเปือย และจำเป็นต้องซื้อน้ำเปล่าด้านใน ในราคาเกือบ สามสิบบาทเผื่อกระหาย เวลาผ่านไปรวดเร็วเครื่องบินของเราก็มา มีประกาศขึ้นเครื่องและ take off ในเวลาไม่นาน ไม่ดีเลย์แถมเร็วกว่าเวลา 15 นาที
- เถาหยวนนนนนนนนน อินเตอร์เนชั่นนแนลล แอร์พอร์ตตต
และแล้วจากการนั่งเครื่องอันยาวนานเกือบ 4 ชั่วโมงมีงีบนิดๆแต่หลับไม่สบาย แถมเมื่อยก้นหน่อยๆ เราก็มาถึง แท่นแท้นนนนน ญี่ปุ่นนนนนน ใช่ที่ไหน ไต้หวัน ไต้หวันมีสองสนามบิน เก่าและใหม่หรือ ของเก่ามีขนาดเล็กอยู่ในตัวเมืองคล้ายกับดอนเมือง ของใหม่อยู่เมืองเถาหยวนจึงต้องชื่อเถาหยวน สนามบินแห่งนี้มีขนาดใหญ่พอควรแต่ไม่เท่าสุวรรณภูมิบ้านเรา
เราลงจากเครื่องขึ้นรถบัสเพื่อเข้ามาที่ terminal 1 ผ่าน ตม. คนไม่เยอะแบบเขาว่า ไม่นานก็ผ่านออกมา ตามแผนของเราจะต้องรอศูนย์บริการมือถือเปิดตอน 8.00 เพื่อซื้อซิมการ์ด เนื่องจากหาข้อมูลพบว่า ซื้อซิมข้างนอกค่อนข้างลำบากกว่า
ระหว่างนั่งพักรอ เราเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ผมเดินสำรวจสนามบินทันที ผมเดินหาร้านขายของกิน เมื่อลงมาชั้น B1 พบกับร้าน Hi life ด้านหน้ามีคนต่อคิว 3-4 คิว เอ๊ะ นั้นเค้าทำอะไร อ้าววว นั้นเค้ากำลังบริการซิมมือถือนิ ผมรีบขึ้นไปตามเพื่อนทั้งสอง ลงมาโดยพลัน เพราะถ้าหากเราเสร็จตรงนี้เร็วเราจะได้ไม่ต้องรอนาน
- Hi Life สะดวกซื้อร้านแรกที่เข้า
hi life เป็นร้านสะดวกซื้อารมณ์ประมาณเซเว่น และมีของกินมากมาย เมื่อเราทำการเปลี่ยนซิมเสร็จ อ้อ ซิมราคา 300 NT เล่น net ได้ 5 วัน แถมเงิน 50 NT สำหรับใช้โทร จากที่อ่านมา โทรกลับไทยนาทีละ 11 NT ซึ่งได้ไม่นาน เงินตัวนี้จึงเหมาะกับโทรหากันในไต้หวันมากกว่า พนักงานที่มาตั้งบูทชั่วคราวอำนวยความสะดวกทุกอย่าง จะมีบาร์โค๊ดให้ไปจ่ายเงินในร้าน ซึ่งตรงนี้ในเน็ตไม่ได้มีบอกไว้
Link : https://www.twgate.net/prepaidcard/product_en.html
มื้อเช้าแรกของเราฝากท้องที่นี้ ผมตั้งใจจะลองโอเด้งแต่อาหารหมดอยู่ระหว่างการปรุง จึงต้องลองอาหารกล่องอย่างอื่นแทน มื้อนี้หมดไปเพียง 49 NT เท่านั้นประหยัดจริงๆ
ถุงใส่อาหารกล่องของเราจะเป็นแบบตาข่าย สวยดี อ้ออีกอย่างที่นี้ตามร้านจะไม่ให้ถุงพลาสติกนะครับ ต้องซื้อเพิ่ม ระหว่างที่เราเติมพลังคนไปเติมพลังโทรศัพท์ไป ที่สนามบินนี้ข้อดีคือมีที่ชาร์ตแบตให้เยอะมากๆๆๆๆๆ ทั้งเป็นปลั๊กและ USB รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ น้ำร้อน น้ำเย็น น้ำอุ่น แถม รปภ ยังเดินไปมาตลอดหรือเห็นว่าพวกเราน่าสงสัยนะ 555
- รถไฟฟ้าความเร็วสู๊งงงสูงงง THSR
ที่นี้มีรถไฟความเร็วสูงครับ โดยทอดยาวจากทางเหนือลงใต้ของฝั่งตะวันตกของเกาะ ซึ่งมีประชากรหนาแน่นกว่าตะวันออก (ฝั่งตะวันออกมีที่ราบน้อยกว่าด้วย แต่ผมว่าสวยนะฝั่งตะวันออกน่ะ)
คนพร้อม มือถือพร้อม ออกเดินทาง แต่จะไปไหนล่ะ จากที่ทำการบ้าน สถานีรถไฟความเร็วสูงอยู่ห่างจากสนามบินประมาณ 20 นาทีเราจึงต้องไปซื้อตั๋วรถเมล์ Ubus สาย 705 เพื่อเดินทางไปยัง THSR Station (Taiwan Hi Speed Rail) รถไฟความเร็งสูงซึ่งสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 300 Km/hr ครั้งแรกสำหรับผมที่ได้นั่งรถไฟความเร็วสูง แถมที่ไต้หวันราคาไม่แพงอีกด้วย
สถานีรถไฟความเร็วสูงใหญ่โตพอสมควร ต่อคิวซื้อตั๋วแต่ เหตุการณ์นอกแผนก็เกิดขึ้นอีกแล้ว ก่อนมาเราทราบกันว่า ช่วงที่เรามาเป็นวันหยุดยาวของคนที่นี้เป็นช่วงวันชาติเขาคนไต้หวัน แถมวันนี้ยังเป็นวันหยุดชดเชย คนจึงเยอะพอสมควร ไม่แน่ใจเหมือนบ้านเราหรือเปล่า ที่คนต่างจังหวัดเดินทางกลับบ้านในวันหยุด
เราสามคนจองได้แต่ต้องเสียเวลารอรถอีกพักนึง แถมที่นั่งของเราทั้งสามกระจายครับ เราใช้เวลาช่วงที่มีถ่ายรูปในสถานีบ้าง เข้าห้องน้ำซื้อขนมบ้าง เดินลงไปรอรถไฟชั้นใต้ดิน รถที่เรานั่งต้องรออีกสามขวบน เวลาก็ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ใช่ครับ รถไฟมาถี่มากครับ ตก 10-15 นาทีคันนึงเอง ยะกะรถ BTS บ้านเรา
ตั๋วรถไฟความเร็วสูงจะระบุ ตู้(Car) และ ที่นั่ง(seat) ซึ่งต้องนั่งให้ถูก และแล้วรถไฟขบวนของเราก็มาเราสามคนแยกย้ายกันตามทาง 555 ผมได้นั่งระหว่างหญิงสาวชาวไต้หวันสองคน ก็เกร็งๆกันไป
อีกเรื่องที่ผมมองว่าดีคือความปลอดภัยครับ ไต้หวันเป็นประเทศที่ปลอดภัยอันดับต้นๆครับ ผมสังเกตจากคนนั่งข้างๆผม เธอชาร์ตแบตกับ power bank ทิ้งไว้แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำหน้าตาเฉย นี้ถ้าเป็นบ้านเราผมคงไม่กล้าวางทิ้งไว้แบบนี้แน่
กลับมาที่รถไฟ รถไฟที่ใช้ในไต้หวันจะเป็น series 700T เป็นแบบเดียวกับชินกังเซ็น series 700 ของญี่ปุ่น บนรถจะมีแผนผังบอกข้อมูลต่างๆเช่นห้องน้ำ ตู้เสบียง ด้านบนมีบอกพยากรณ์อากาศ ตลอดเวลา ความเร็วที่รถไฟกำลังเดินทาง เกือบ 50 นาทีที่อยู่บนรถไฟที่ดูไฮโซที่สุดเท่าที่เคยนั่งมา ก็มาถึงไถ่จง Taichung ซึ่งหลังจากนี้เราจะต้องนั่งรถบัสกันต่อ
- Taichung – Nantou ความสวยงามไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเสมอไป
ถึงแล้ว THSR Taichung Station สถานี้ใหญ่ครับ เมืองนี้ใหญ่ใช้ได้เลย เอาเดินออกตามป้ายเรื่อยๆ จนมาถึง Exit 5
ที่นี่เราสามารถซื้อตั๋วรถไป Sun moon lake(SML) จะมีเค้าเตอร์ nantou bus ให้บริการอยู่ จากที่ดูแล้ว ซื้อเป็นแพกเกตจะคุ้มค่าที่สุด เราต่อคิวซื้อแพกเก็ตชี้นู้นนี้ ตามการบ้านที่ทำมาราคา 570 NT ซึ่งประกอบด้วย
– ค่ารถไป-กลับ Taichung-SML
– ค่าเรือรอบทะเลสาบ SML
– ค่าเช่าจักรยาน 1-2 hr แล้วแต่ยี่ห้อ
– ค่ารถไปกลับ xiangshan
ข้อสังเกตของ Nantou Bus จะไม่มีตัวเลขบอกครับเป็นภาษาจีนหมดเลย แต่ขอเพียงเราเดินไปต่อคิวให้ถูกจุดก็จะขึ้นรถไม่ผิดคัน รอไม่นานรถบัสก็มารับเรา รถบัสนี้จะผ่านเมือง Nantou ก่อนไป puli แล้วถึงจะเข้า SML แต่แล้วสิ่งที่ไม่คิดเกิดขึ้นอีกนั้นคือ รถติดครับ รถติดตั้งแต่ขึ้น freeway เลย จากที่ไม่ได้นอนเมื่อคืนผมจึงเผลอหลับไป….
ตื่นมาอีกทีอยู่นอกเมืองซะแล้ว วิวทิวทัศน์ที่แปลกหูแปลกตา ถนนที่นี่เหมือนมีทางยกระดับ ตลอดทาง ผ่านบ้านเมือง ทุ่งนาภูเขาแม่น้ำ ข้อสังเกตุอย่างนึงคือ ถนนมักจะตัดผ่านทุกอย่างหากเป็นแม่น้ำก็จะเป็นทางยกระดับหากเป็นภูเขาก็จะเจาะทะลุไป เหมือนเป็นทางด่วนท่ามกลางหุบเหวและขุนเขา จุดแรกๆที่รถมาจอดคือ puli จุดนี้ทำผมลังเลนิดหน่อยเพราะคนลงพอสมควร เป็นเหมือนท่ารถ จอดสักพักรถถึงเดินทางต่อ
- ทะเลสาบสีมรกตแห่งเกาะไต้หวัน Sun moon Lake
ไม่นานจาก puli เราก็มาถึง ทะเลสาบสุริยันจันทรา ทะเลสาบน้ำสีเขียวมรกตที่มีความสวยงามอย่างมาก เป็นทะเลสายที่อยู่บนเขาสูงงงงง แถมติดสถานที่พักต่างอากาศของคนไต้หวันอันดับต้นๆ มีเส้นทางปั่นจักรยานรอบๆสำหรับคนรักสุขภาพ ซึ่งคอนเฟริมสวยมากและอากาศดีมากครับ
รถบัสจะมาจอดที่ท่าเรือ Shueishe (เต้มันเรียกว่าซูสี 555) ซึ่งเป็น 1 ในสองท่าเรือของ Sun moon lake เราจะพักกันที่นี่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก visitor center
เราลงรถบัสปุ๊บก็มีเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อกั๊กมาแนะนำว่าโรงแรมเราไปทางไหน และการเดินทางอันยาวนานมากกว่า 12 ชั่วโมงกำลังจะถึงที่หมายที่แรกแล้วววว
คืนแรกเราพักที่ love home garden ซึ่งสังเกตได้ไม่ยาก พนักงานอาจจะไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เต็มที่(เราเองก็เช่นกัน) แต่พยายามช่วยเหลือเราเต็มร้อย นำมือถือมาเปิดดิกไปคุยไป แนะนำการใช้คูปองแพคเก็ต ปกติแล้วเราจะเช็คอินได้บ่ายสอง ซึ่งทางที่พักได้แจ้งเราแล้ว เราจึงกะแค่ฝากกระเป๋า แต่ระหว่างงงๆ ก็พาเราขึ้นไปเก็บของที่ห้องและแนะนำการใช้งานอื่นๆกับเรา อย่างนี้หมายความว่าเราได้ห้องแล้วววววเย้….
หลังเสร็จจากเก็บของ ท้องพวกเราร้องอย่ารุนแรงต้องหาอะไรใส่ท้องแล้ว มองซ้ายมองขวากินอะไรดีมีแต่ภาษาจีน สุดท้ายด้วยความหิวก็ได้มา 1 ร้านเป็นร้านอาหารจีน แต่โชคยังดีที่ร้านมีเมนูภาษาอังกฤษให้ เราสั่งอาหารประเภทบะหมี่แห้งแบบจานเดียวราคาไม่แพงมากประมาณ 100 NT ส่วนรสชาติก็อาหารจีนดีๆนี่เองติดเค็ม อ้ออีกอย่างที่นี้มักไม่มีน้ำเย็น แต่จะเสริฟเป็นชาร้อนแทนครับ
พลังงานเต็มพร้อมเที่ยวแล้ววววว สิ่งที่พลาดไม่ได้หากมาที่นี้คือ ล่องเรือรอบทะเลสาบ กับน้ำสีเขียวมรกต ซึ่งจุดแรกที่เค้าพาแวะคือวัด Syanguang จะเรียกวัดก็ไม่น่าได้เหมือนศาลเจ้ามากกว่า 555 รู้อย่างเดียวถ้ามาแล้วต้องมากินไข่ดำต้มใบชา ราคา 2 ฟอง 25 NT ราคานี้แพงเอาเรื่อง แต่รสชาติอร่อยครับ กลมกล่อมดีพวกเราก็จัดคนละสองฟอง แล้วขึ้นไปไหว้พระ ที่นี่นักท่องเที่ยวเยอะมากส่วนใหญ่เป็นทัวร์จีนจึงค่อนข้างวุ่นวายและเสียงดัง
จุดต่อมาที่เรือมาจอดคือท่าเรือ Ita thao ท่าเรืออีกแห่งของ SML ที่นี่มีถนนคนเดิน และที่สำคัญของกินมากกว่าท่าเรือแรกเยอะ เดินไปชมตลาดไปกินไป ฟินนนมากกกก
- ปั่นจักรยานรอบ Sun moon Lake
เวลาผ่านไปเร็วเพื่อให้ทันกิจกรรมต่อไปนั้นคือ ปั่นจักรยาน เห้ยยย บ้าไปแล้วววนอนก็ไม่ได้นอนยังต้องมาปั่นจักรยานอีก ทำไงได้ล่ะครับมาทั้งที ดูจากในเน็ตเส้นทางสวยมากกกกก และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เรานำคูปองมาแลกจักรยานฟรี 1 ชั่วโมง อ้อลืมบอกตัวแพคเกตที่เราซื้อเหมือนจะเป็นของรัฐ ส่วนร้านบริการเอกชนซึ่งมีหลากหลาย โดยเค้าคงจะนำคูปองนี้ขึ้นเอง ผมเข้าใจแบบนี้เพราะเห็นว่ามีหลายผู้ให้บริการครับ
จักรยานที่เราได้เป็นของ ไจแอนท์ไม่ใช่ซึเนโอะ 555 ใช่ครับใจแอนท์จริงๆ กว่าจะสื่อสารกะคนให้เช่ารู้เรื่อง น้าแกจะใส่จีนกับเราตลอดเลยซึ่งแกก็คือคนเดียวกับที่เรานำคูปองไปแลกตั๋วเรือในตอนแรก แต่ก็นะพยามกับเราเต็มที่นับถือๆๆๆ
ได้แล้วครับจักรยาน ขอฝากของกับร้านนิดหน่อยเราก็ได้เวลาปั่นเล่นกัน วิวรอบๆสวยดังคำล่ำลือ คนเยอะด้วย พระอาทิตย์เริ่มตกอากาศเริ่มเย็น เราไปได้ไม่นานเห็นว่าเวลาคงไม่พอ จึงหาที่นั่งพักและชมวิว คนมาทำกิจกรรมตรงนี่เยอะมากเพราะวิวและอากาศดี พักจนหายเหนื่อย เราก็ได้เวลาปั่นกลับไปยังจุดบริการนักท่องเที่ยว
กลับมาถึงพระอาทิตย์กำลังตก ก็ได้เวลาหาอาหารเย็นแล้ว เราค่อนข้างเข็ดกับมื้อเที่ยงที่ผ่านมา แต่ที่บริเวณท่าเรือ Shueishe ตัวเลือกไม่ได้มีมากเท่ากับท่าเรือ Ita thao แต่หากพักสะดวกผมก็ยังแนะนำที่นี้ครับ เพราะไม่ต้องหิ้วกระเป๋าลงเรือหรือต่อรถไปที่ Ita thao
มื้อเย็นเราก็ได้อาหารจีนแบบเดิม แต่รอบเย็นนี้ เราอ่านเมนูงงๆ เห็นหน้าร้านเป็นภาษจีน มีเมนูราคา 500 1000 1500 ที่เห็นได้หลายๆร้าน แรกๆพวกเราพยายามเลี่ยงเพราะมันแพ แต่เมื่อขอเมนูภาษาอังกฤษมาก็ถึงบางอ้อ เมนูพวกนี้จะเป็น อาหารจีนชุด พวกเราตกลงว่าจะลงกัน set ที่เราเลือกเป็น กับ 4 อย่าง ข้าวฟรี น้ำฟรี ราคา 500 NT อาหารที่ได้ก็ตามรูปด้านข้าง พอดีกับพวกเราสามคน
หลงจากมื้อเย็นอิ่มเรียบร้อยเวลาพึ่งจะหกโมงกว่าแต่ฟ้ามืดสนิทแล้ว เราเดินไปที่บริเวณท่าเรือเพื่อชมวิวยามค่ำคืน นักท่องเที่ยวยังคงมากมาย มานั่งเล่นบ้าง มีดนตรีเปิดหมวกมาร้องเพลงให้ฟัง ผมว่าน้องเค้าร้องเพลงเก่งดีนะ เหมือนจะมี page ให้ติดตามด้วย เสียดายไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ
ก่อนกลับพวกเราแวะ 7-11 อีกรอบ เผื่อหาขนมอะไรกิน ร้านสะดวกซื้อที่นี่ดีครับของกินเยอะดีมีที่ให้นั่งด้วย และพอมาถึงที่พัก เราต่างคนต่างทำธุระส่วนตัว อ้อสิ่งน่าสนใจคือ ผ้าเช็คตัวกับเช็ดหน้า เป็นแบบเหมือนใช้ครั้งเดียวบางๆทิ้งเลย แปลกดีครับ แต่ก็เช็ดตัวแห้งนะ หลังจากอาบน้ำด้วยความเพลีย ผมก็หลับอย่างรวดเร็วทั้งๆที่พึ่งจะสองทุ่ม zzzzZZZZ
- เดินทางเข้าเมืองไทเป
หลังจากเมื่อคืนหลับสนิท ยาว ตื่นมาอีกทีก็หกโมงเช้า อากาศที่นี่แจ่มใสมาก มื้อเช้าของที่พัก เราได้เป็นคูปองไปรับแฮมเบอร์เกอร์ที่ MOS เบอเกอร์ เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ นำกุญแจห้องไปใส่โถเพื่อแสดงการcheck out แล้วจึงเดินมาที่ชั้นสองของอาคาร visitor center ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน MOS มื้อเช้าเรา
เมื่อท้องอิ่ม เอ้ก็ได้เวลาขับถ่าย เข้าห้องก็เจอเซอไพรสสส ห้องน้ำตอนเช้าของที่นี้แบบว่า………. อ๋อยยยมามาเลยยย สงสัยพนักงานทำความสะอาดยังไม่มา เอ้จึงต้องเดินกลับโรงแรมเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่รถสาย 6670 รอบ 8.25 น. จะมา
รถออกตรงเวลาเหมือนเดิม สำหรับที่นี่ ไม่มีคำว่า late หลับๆตื่นๆบนรถไม่นาน ลงเขามักเร็วกว่าขึ้นเขาเสมอเราก็มาถึง สถานีรถไฟความเร็วสูง taichung ที่เดิมที่เรามาเมื่อวาน ขากลับรถไฟความเร็วสูงคนไม่เยอะเหมือนเมื่อวานเราจึงได้ที่นั่งติดกัน รอบที่เรานั่งนั้นไม่จอดสองสถานีจากสี่สถานีจคงใช้เวลาพอๆกับขามา แต่มาได้ถึงไทเป.
สถานีปลายทางของเราคือ taipei main station ซึ่งเป็นศูนย์รวมทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น รถไฟใต้ดิน MRT รถไฟความเร็วปกติ SRT รถไฟความเร็วสูงTHSR หรือ รถบัส เค้าทำได้ดีจริงๆครับ ที่นี้เป็นศูนย์กลางการเดินทางเลยก็ว่าได้
- Easy card บัตรสารพัดประโยชน์
อย่างแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงคือซื้อบัตร Easy card เฉพาะบัตร adult ที่เราชอบใช้งานกันไม่รวม day pass ปัจจุบันมีสองชนิดซึ่งมักทำให้สับสนงงงวย เพราะมันเหมือนทุกอย่างยกเว้น smart chip
แบบเก่าจะไม่มี smart chip ชื่อ deposit-based card แบบนี้เสียค่ามัดจำ 100 แต่ค่าบัตรฟรี สามารถหาซื้อได้ตามตู้ขายอัตโนมัติที่สถานี mrt
แบบใหม่ Second-Generation มี smart chip แบบนี้ไม่เสียค่ามัดจำ แต่จะเสียค่าบัตร 100 ซื้อได้ตรง information center ของ mrt ร้านสะดวกซื้อ และ Easy card center
เพราะฉะนั้น หากซื้อแบบแรก ตอนกลับจะได้มัดจำกับเงินคงเหลือคืน. แต่แบบที่สองจะไม่มีค่ามัดจำนะครับ ค่าบัตรเค้าก็ไม่คืน ได้เฉพาะเงินในบัตรเท่านั้น
แล้วแบบใหม่ที่มี smart chip ดีกว่าแบบเก่ายังไง เท่าที่ทราบดีกว่าตรงที่สามารถลงทะเบียน และใช้เช่า ubike ซึ่งเป็นจักรยานเช่าปั่นในเมืองได้ แถวยังออกมาหลากหลายคอเลคชั่นอีกด้วย
Link : https://www.easycard.com.tw/english/easycard/01/buy.asp
สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆถ้าไม่อยากสะสมการ์ดหรือลงทะเบียนเช่าจักรยาน แนะนำซื้อแบบ deposit-based ดีกว่าครับ ส่วนพวกเราก็เช่นกัน
กลับมาที่การซื้อ easy card เรามาถึงทางเข้า รถไฟฟ้าที่จะไป Ximen ตอนนั้นพวกเราหาที่ซื้อบัตร Easy card เราต่อคิวที่ information center ของ mrt ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ จึงได้ทราบข้อมูลด้านบน ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ตรงนี้ไม่มีตู้ขาย จึงถามเราจะไปที่ไหน เดี๋ยวซื้อเป็นเหรียญไปก่อน ถึง ximen จึงค่อยหาซื้อ easy card แบบ deposit-based จากเครื่องขาย พนักงานจึงขายเป็นเหรียญให้กับเรา ส่วนวิธีใช้จึงเหมือนรถไฟใต้ดินบ้านเราน่ะเอง
- Ximen สยามสแควร์แห่งไต้หวัน
และแล้วเราก็มาถึงจนได้ ก่อนอื่นตามคำแนะนำเราซื้อ Easy ที่สถานีนี้ ผ่านตู้ขายและตู้เติมมูลค่าอัตโนมัติ เสร็จแล้วเราจึง ออกมาด้านนอก ทางออกแหล่งช๊อปปิ้งย่านซีเหมินที่ใกล้ที่สุดเห็นจะเป็น exit ออกมาบุ๊ป ก็เห็นจุดไฮไลท์ ของที่นี่ทันที พวกเราเปิดแผนที่และอาศัยความจำร่วมในการเดินไปยัง รร. ถึงแม้เราจะทราบดีว่ายังไม่ถึงเวลาเช็คอิน แต่เรามาเพื่อฝากกระเป๋าไว้ก่อน ก่อนที่จะตลุยเมืองไทเปกันต่อ
รร. ชื่อ EFCA Hotel ตั้งอยู่ชั้น 6-7 ของอาคารแห้งอะไรสักอย่างด้านล่าง เป็นร้านค้า ชั้น 5 เป็นGame center เราฝากกระเป๋าเรียบร้อย พนักงานแจ้งว่า เราสามารถเช็คอินได้เวลาบ่ายสาม แต่เรากะกลับมามืดๆ ดีที่โรงแรมแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่ 24 ชั่วโมง
ในเมื่อมาถึงซีเหมิน ตามโพยสิ่งที่ต้องลองอย่างแรก และพอดีมื้อเที่ยงของเราก็คือ บะหมี่อาจงเจ้าเก่าเจ้าดั้งเดิมเจ้าเดียว ที่เค้าล่ำลือกัันว่าอร่อยที่สุด เราก็ไม่พลาดที่จะลองชิม ส่วนตัวแล้วรสชาติอร่อยแต่ ก๋วยเตี๋ยวบ้านเราอร่อยกว่าเห็นๆ 555 ไม่ได้อวยนะ แต่ใครไป ผมก็ยังแนะนำให้ลองไปกินกันเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง อ้ออีกอย่างร้านนี้ไม่มีโต๊ะนั่งนะครับ จะต้องยืนกิน วิธีหาไม่ยาก เห็นร้านไหนหน้าร้านคนยืนกินเยอะๆ นั้นแหละร้านนี้ชัวร์ 555
มื้อนี้ได้อาหารหลักแล้วต่อไปก็เครื่องดื่ม สำหรับไต้หวันแล้วเป็นต้นตำรับของชานมไข่มุก มีหรือที่จะพลาด มีร้านข้างๆพอดี เดินเข้าไปคนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ไม่เป็นอุปสรรคมากนัก คนขายนำเมนูมาให้เลือก โดยชานมที่นี้สามารถเลือกได้ว่าน้ำแข็งมากน้อยแค่ไหน น้ำตาลมากน้อยแค่ไหน สำหรับรสชาติผมว่าอรอ่ยนะ ชาที่นี่ส่วนใหญ่หวานไม่มาก กลิ่นนมกลิ่นชาเยอะ อร่อยดี ราคา 30 NT
- Taipei 101 ตึกสูงไฮเทครูปต้นไผ่
หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารเด็ดอาหารดังของที่นี่ จุดหมายต่อไปที่จะไปทักทายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ คงหนีไม่พ้น ตึกที่เคยสูงที่สุด และมีลิฟท์ที่เร็วที่สุด นั้นคือ ไทเป 101 เคยดูสารคดี ตึกนี้ใช้เทคโนโลยีหลากหลายแขนงรวมถึงศาสตร์แห่งฮวงจุ้ยในการสร้าง ด้านในมีลูกตุ้มยักษ์ที่หนักมากถ้าบอกไปจะกลายเป็นเว็บสารคดี 555 ส่วนเลข 101 นั้นคือจำนวนชั้นของตึกนี้(ไม่รับรวมชั้นใต้ดิน) เราสามารถมาตึกนี้ได้ง่ายๆโดยใช้บริการ MRT มาลงสถานีที่ชื่อเดียวกับตัวตึก
แต่ระหว่างทางก็มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้น ซึ่งทางเราก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เหมือนรถไฟฟ้าขบวนนี้มีปัญหา คนลงกันหมด เราเห็นท่าไม่ดีก็ลงตาม แต่บางคนนั่งเล่นโทรศัพท์เพลิน ไม่สังเกตุคนลงทั้งขบวนแล้ว จนเจ้าหน้าที่ต้องมาไล่กันไป
ตึกไทเป 101 มีรูปร่างเป็นปล้องไม้ไผ่ ความสูง 509.2 เมตร สามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนได้เสียค่าใช้จ่าย 450 NT แต่เราไม่ได้ขึ้นไปกัน เราหามุมถ่ายรูปกับตึกสวยๆ โดยใกล้ๆ ก็ที่ Si Si Nan Cun ซึ่งเป็นหมู่บ้านทหารโบราณ โดยเดินไม่ไกลจาก exit 2 พอดีกับที่นี้จัดให้มีตลาดขายของเล็กๆอยู่ ทำให้ วันที่เรามาค่อนข้างครึกครื้น
ที่ Si Si Nan Cun นี้มีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะ ใครอยากแนว มาถ่ายได้ครับ ก่อนจะขึ้นไปบนตัวตึก 101 ก็ได้แนะนำครับ เรามาถ่ายรูปกันสักพัก ก่อนหาที่นั่งพักรอเวลา เพื่อที่จะไปกันต่อ
- XiangShan Elephant Mountain จุดชม taipei 101 ที่สวยที่สุด
เมื่อเราชื่นชมตัวตึกจากด้านล่างแล้ว ฉไนเลยจะไม่พลาดที่จะชื่นชมตัวตึกจากมุมสูงบ้าง โดยจุดที่เราไปชมคือจุดที่ ตากล้องมักขึ้นไปถ่ายรูปกันนั้นคือ เขา Xiangshan หรือเขาช้างนั้นเอง
เขาแห่งนี้มีเส้นทางเดินป่าหรือ trekking ที่สวยมาก และคนไต้หวันมักจะชอบขึ้นมาชมวิวและออกกำลังกายกัน การเดินทางมาที่ เขาช้างแห่งนี้ ลง MRT ชื่อเดียวกับชื่อเขาอีกหน่ะแหละ จริงๆก็ห่างจาก taipei 101 แค่สถานีเดียว ลง MRTแล้วเดินต่ออีกสักนิด ก็จะขึ้นทางขึ้น จะไปว่า เดินมาถึงทางขึ้นเราก็เหนื่อยๆกันแล้ว
ทางขึ้นอาจจะเล็กดูไม่ค่อยมีคน แต่พอเริ่มเดินขึ้นมาแล้ว คนเยอะมากๆๆ เจอตามทางเต็มไปหมด มีทั้งมาออกกำลังกาย มาเที่ยว หรือมารอถ่ายรูป เราเดินขึ้นไป จนถึงจุดที่คิดว่าพอและเหนื่อย 555 หมดแรงกันไป ผมปล่อยเพื่อนสองคนให้นั่งพักและชมวิวไป ส่วนตัวรีบไปหาจุดตั้งขาตั้งกล้อง
เมื่อได้ที่แล้วเป็นห่วงกล้องไม่ได้ติดโทรศัพท์มาอีก เพื่อนตามหากันให้แย่ ต้องขอโทษเพื่อนทั้งสองด้วย 555 พระอาทิตย์ที่นี่ตกดินเร็ว 5 โมงก็เริ่มมืดแล้ว แต่ฟ้าดินเป็นพยาน เมฆมานั้นแล้ว ฝนกำลังจะตก หมอกก็มี สุดท้าย ภาพที่ได้ ก็อย่างที่เห็น 555
เราใช้เวลาอยู่บนนี้นานมากเพื่อรอดูไฟจากตัวตึก จึงเดินลงมา เพื่อไปหาข้าวกินกันที่จุดต่อไป ระหว่างเดินลงเพื่อนผมเอ้ ก็บ่นเต้ตลอดทาง ซึ่งก็ขอเสนอให้คนอื่นได้ยินได้ฟังกันบ้าง 555 บางคำไม่เหมาะสมซึ่งเป็นที่รู้ว่าเพื่อนกันคุยกันแบบนี้ 555
- เดินจนหลงกับ Shilin night market ตลาดกลางคืนที่นิยมที่สุด
นั่งรถไฟฟ้า MRT กันต่อมาถึงสถานี MRT Jiantan Station Exit 1 เราเดินตามมวลชนมา คนส่วนใหญ่มานี้เพื่อมาเดินตลาดกลางคืน วันที่เราไปเป็นคืนวันเสาร์ คนเยอะมากกกกกกกกก แทบเดินไม่ได้ และเราเข้าผิดทาง หาที่กินข้าวไม่เจอ ไหงเจอแต่ของขาย ด้วยความหิว จึงขอลอง ปลาหมึกทอดตัวยักษ์ก่อน ราคา 100 NT แต่ชิมแล้ว ไม่ได้อร่อยเลย 555 จืดๆอ่ะ เราเดินหาอยู่นาน เปิดรูปให้คนนู้นคนนี้ดู จนมาถึง ตำรวจแต่เค้าบอกว่าปิด อ้าวววว ซวยแล้ว เราจึงมานั่งกิน KFC ไร้ซอสซะแถวๆนั้นเลย
อิ่มจาก KFC ไร้ซอส ถามทำไมต้องเรียกนี้ ก็มันไร้ซอสจริงๆครับ 555 จืดมากกกกกกกกกกกก จนเอ้ถึงกินกินไม่ได้กันเลยทีเดียว เราเดินออกมาจาก KFC อย่างเซงๆ เดินไปเรื่อยด้วยความอยากรู้ว่าตรงศูนย์อาหารมันปิดจริงหรือไหมจึงลองเดินไปดูปรากฏ เจอแล้วครับ ไม่ปิด เจอหน้าตลาดที่คนมักถ่ายรูปด้วย เราข้าวผิดทาง จบข่าววววววว 555 เป็นการผิดทางครั้งแรกของทริป เมื่อผิดก็ต้องแก้ไขครับ เราตรงไปยังศูนย์อาหารชั้นไต้ดิน หาร้านนั่งและเอ้ผู้หิวโหยสั่งบะหมี่มากิน ส่วนผมกับเต้ ลองสิครับของขึ้นชื่ออีกอย่าง เต้าหู้เหม็น
จะว่าไป ตั้งแต่มานี้ ได้กลิ่นเต้าหู้เหม็น ทุกๆตลาดทุกๆที่ และมันเหม็นจริง สำหรับผมเหมือนกลิ่นขี้วัวขี้ควายแถวบ้าน ลองสิครับลอง สั่งมาจานนึงหารกะเต้ สำหรับผมกินครึ่งคำ จบไม่ไหวจริงๆ อาจจะเพราะอิ่มเอียนจากไก่ KFC มาด้วย เต้กะเอ้พอกันได้ก็จึง เก็บๆให้หมด
อิ่มแล้วจบภารกิจ ก่อนกลับที่พัก เราเดินผ่านน้องๆ ขายกิ๊ฟท์ติดผมรูปใบไม้ ผลไม้ ที่ผมพึ่งเห็นข่าวว่าจีนกำลังฮิตเลย และไม่พลาดที่จะซื้อกลับมา คืนนี้เราเหนื่อยกันพอสมควรกว่าจะถึงโรงแรมเช็คอินก็เกือบห้าทุ่ม
ขอเล่าเกี่ยวกับโรงแรมหน่อย โรงแรมอยู่ใจกลางย่าน ซีเหมิน ห้องที่เราได้ไม่มีหน้าต่าง แต่ก็ไม่ได้ดูอึกอัดเท่าไหร่นัก หลับสบายแอร์เย็น มีผ้าเช็ดตัวให้ แปรงซีฟันอะไรพร้อมหมด ห้องน้ำมีอ่างด้วยยย ข้อเสียที่พบอย่างเดียวคือ ห้องน้ำเป็นกระจกครับ แต่ยิ่งกว่านั้นประตูล๊อกไม่ได้ครับ 5555 เพื่อนใครขี้แกล้ง ระวังๆตัวหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะเป็นแบบคลิปด้านล่าง 555
สำหรับครึ่งแรกก็จบเท่านี้ เจอกันครึ่งหลังครับ เนื้อหายังอีกยาวไกล