ต้นเดือนมีนาที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสหาข้อมูลที่พักที่เขื่อนรัชประภา เพื่อที่จะเดินทางไปชมความสวยงามของเขื่อนที่ขึ้นชื่อว่าสวยอันดับต้นๆของประเทศ และหากนักท่องเที่ยวต้องการที่จะพักในเขื่อนเพื่อชมความสวยงามคงหนีไม่พ้นที่จะนอนแพ ในบรรดาแพที่ได้สัมปทานบนเขื่อนนั้นมีหลากหลายตั้งแต่ธรรมดา ไฟฟ้าเปิด-ปิดเป็นเวลา จนไปถึงแพหรูๆ แพงๆ แต่สำหรับผม ตัวเลือกในครั้งนี้แน่นอนว่าต้องเป็นแพที่ราคาไม่แพง นั้นคือ แพเพลินไพร http://www.ploenprai.com/
การท่องเที่ยวเขื่อนรัชประภานี้ สามารถทำได้หลากหลาย ดังนี้
1. จองห้องพักพร้อมอาหาร และเรือแยกกัน
2. จองห้องพักพร้อมอาหารรวมทั้งเรือ ผ่านบริษัททัวร์
3. จองห้องพักพร้อมอาหารรวมทั้งเรือ ผ่านแพที่พัก
สำหรับวิธีแรกผมว่าเหมาะกับ นักท่องเที่ยวกรุ๊ปเล็กๆ เพื่อที่จะไปหาหรือหารค่าเรือเอาข้างหน้า หรือแค่ต้องการไปพักเฉยๆไม่ต้องการเที่ยวรอบๆเขื่อน ส่วนวิธีที่สองเนี่ยเหมือนกันวิธีที่สาม ซึ่งเป็นแพคเก็ต แต่บริษัททัวร์คิดค่าหัวเพิ่ม เพียงแต่ว่าหากเราติดต่อแพโดยตรงได้ ราคาจะถูกกว่า อิอิ ในครั้งนี้ เพื่อความสะดวกผมติดต่อแพและจองเป็นแพคเก็ตกับแพโดยตรงครับ
สำหรับแพเพลินไพร ราคาจะอยู่ที่ 3400 บาทต่อท่าน เริ่มต้นที่ สองท่าน แต่ถ้ามากันหลายคน ราคาจะถูกลงเรื่อยๆ โดยก่อนวันเดินทาง ทางที่พักหรือคนจัดเรือจะโทรมายืนยันเวลา และจุดนัดเจอ
ทั่วไปแล้วทางแพจะนัดเวลาประมาณ 9:30-10:30 น.
เมื่อถึงที่นัดหมาย ทางเจ้าหน้าที่ จะพาเราไปแนะนำคนขับเรือและเรือที่จะใช้เป็นพาหนะท่องเที่ยวรอบๆเขื่อน โดยคนขับเรือท่านนี้จะอยู่กับเราตลอดทริปเลยก็ว่าได้ คนขับเรือของเราชื่อพี่รักษ์ ซึ่งก็เป็นชาวบ้านที่พักอาศับในแถบนั้น
มาดูที่เรือ เรือลำที่ได้นั้นค่อนข้างใหญ่ น่าจะนั่งได้สิบกว่าคน แต่หากคุณจองเป็นแพคเก็ตมาแล้ว ก็ไม่ต้องจอยทัวร์กับใครครับ เรือลำนี้ของเราเพียงผู้เดียว อิอิ
เราเริ่มออกเดินทางตอนสิบโมง และยังพอมีเวลา ทางพี่รักษ์ คนขับเรือได้สอบถามเราว่า เราจะเลือกไปดูเขาสามเกลอก่อนหรือ จะเข้าที่พักก่อนแล้วค่อยไปดูเขาสามเกลอในวันพรุ่งนี้ แน่นอนครับผมเลือกไปดูตอนเช้าพรุ่งนี้ เพราะเห็นว่าอากาศตอนเช้าน่าจะดีกว่าตอนเที่ยงๆ แดดจ้าๆ แบบนี้
เมื่อเรือออกจากท่าเรือเทศบาล เราจะเริ่มเห็นผืนน้ำขนาดใหญ่ มีภูเขาหินปูนตั้งตระง่ารอบๆด้าน น้ำสีเขียวมรกรตเข้มช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ เรือแล่นไปเรื่อยๆลมเย็นสบายพัดปะทะหน้า ยิ่งได้เห็นความยิ่งใหญ่ของเขื่อนแห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เรือแล่นประมาณ 15 นาทีพี่รักขับเรือเลี้ยวขวา หลบเข้ามุมแล้วแกก็ชะลอเรือและบอกกับเราว่า แวะมาที่นี่ก่อนครับเค้าเรียกกุ้ยหลินน้อย ที่นี่ เงียบสงบ มีภูเขาหินขนาดย่ยอมๆ น้ำสีเขียวใสๆ ให้ถ่ายรูปพอสมควรก่อนที่เราจะเดินทางต่อ
เรานั่งเรือต่ออีกประมาณ สิบห้านาที ก็ถึงแพเพลินไพร แพเพลินไพรมีห้องพักสองแบบคือ แบบไม้เชอร่า จะเป็นบ้านหลังเล็กๆทำด้วยไม้ ที่นอนจะเป็นนฟูกปูบนพื้น บ้านแบบนี้ จะมีระเบียงนั่งเล่นและทางเดินด้านหน้าสามารถลงเล่นน้ำและนั่งเล่นได้ ส่วนอีกแบบจะเป็นบ้านน๊อคดาว บ้านแบบนี้คล้ายกับบ้าน ที่ทำจากยิบซั่ม ไม่มีระเบียง ด้านนอกไม่สวยงามไม่มีที่นั่งเล่น แต่ภายในจะเป็นเตียงและตกแต่งดูดีกว่าแบบบ้านไม้เชอร่าทั้งนี้ราคาบ้านทั้งสองแบบเท่ากันอยู่ที่เราจะเลือกครับ
สำหรับในห้องพักไม่มีอะไรมาก พัดลมแบบติดผนังหนึ่งตัวซึ่งเปิดไม่ได้เพราะยังไม่ใช่เเวลาเปิดไฟ กับรูปลั๊กว่างๆสองสามรูไว้สำหรับชาร์ต ส่วนใครที่ติดไดร์เป่าผมกับที่หนีบผมมา ที่นี่รวมถึงแพอื่นๆเค้าห้ามนะครับ มันมีผลกับไฟที่มาจากเครื่องปั่นไฟ
สำหรับห้องน้ำ ที่นี่ห้องพักไม่มีห้องน้ำในตัว ห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมอยู่สองข้างของแพ ห้องน้ำฝั่งบ้านน๊อคดาวดูดีกว่ามากครับ หากมาแนะนำเดินมาเข้าฝั่งนี้ดีกว่า
หลังจากได้ห้องเรียบร้อย เราเก็บของเข้าที่พัก นอนเล่นนั่งเล่นพักผ่อน รอเวลาอาหารเที่ยงซึ่งจะเริ่มในอีกไม่นาน ที่แพแห่งนี้ยังรับนักท่องเที่ยงที่เป็น one day trip โดยจะมารับประทานอาหารและเล่นน้ำที่แพแห่งนี้ด้วย เราจึงจะเห็นชาวต่างชาติ ที่มาเล่นน้ำพายเรือหรือแม้แต่นอนอาบแดดท้าตะวัน ให้เราดูกันเพลินๆ
อาหารทุกมื้อที่แพแห่งนี้จะจัดให้เราทานเป็นกับข้าว ไม่ใช่บุฟเฟ่ตัก แต่ก็เติมได้ ซึ่งมื้อแรกของแพคเก็คเป็นมื้อเที่ยง กับข้าวสามอย่าง ผัดผัก แกงจืดและผัดอะไรสักอย่างคล้ายสะตอ 555 พร้อมน้ำอัดลมขวดใหญ่ น้ำแข็งถัง รวมถึงผลไม้ประจำภาคใตนั้นคือแตงโมกะสับปะรด 555 สำหรับรสชาติอาหารจะเป็นทางใต้ครับจัดถูกใจผู้ที่ชื่นชอบอาหารใต้ หรือมือใหม่อย่างผมแน่นอน
มื้อแรกที่นี่ผ่านไปแบบเต็มอิ่ม จริงๆ พนักงานยิ้มแย้มเดินมาถามตลอดว่าเติมไหมๆ ไม่ไหวครับท้องจะแตกและ เรานัดคนขับเรือไว้ตอนบ่ายโมง เมื่อถึงเวลาก็มาเจอพี่รักที่หน้าแพเพื่อที่จะออกเดินทางไปเดินป่า นั่งแพ ดูถ้ำ แต่ในรอบนี้ไปใกล้ๆ พี่รักจึงขอให้แขกและคนขับเรือของลำอื่นไปเรือลำเดียวซึ่งผมก็ไม่ติดอะไร
นั่่งเรือไม่นานเราก็มาถึงจุดท่องเที่ยวแรก เรามาเพื่อ “เดินป่า” เดินป่าเนี่ยนะร้อนๆ แบบนี้แหละ ตรงจุดเริ่มต้นจะมีร้านขายเครื่องดื่มให้นักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งรู้ๆกันว่าแพงงงงง บอกไว้ได้เลยไม่ได้กินเงินผมหรอก 55555 ระยะทางเดินป่าจะอยู่ประมาณ กิโลกว่า ต้นไม้ไม่ได้ดูแล้งแบบป่าทางภาคอีสาน ทางเดินก็ชันบ้างราบบ้าง ก็ได้แต่ถามตัวเอง เรามาทำอะไรที่นี่ 555
จนได้คำตอบจากพี่รักว่า ที่ที่เราจะเดินไปคือ อ่างเก็บน้ำห้าร้อยไร่ ซึ่งไม่สามารถเข้าหรือออกโดยใช้เรือ แต่จะมีทางน้ำใต้ดินเชื่อมกับเขื่อนส่วนด้านนอก และสมัยก่อนแพชื่อดังก็อยู่ตรงนี้ นักท่องเที่ยวต้องเดินเท้าเป็นระยะทางโลครึ่งเพื่อนเข้ามาพัก แต่ปัจจุบันได้ย้ายออกไปตั้งด้านนอกแล้ว
เมื่อมาถึงอ่างเก็บน้ำห้าร้อยไร่ เราจะพบกับ แพของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และแพกลางให้ความรู้ รวมถึงร้านเล็กๆของเจ้าหน้าที่ พักเหนื่อยสักพัก กิจกรรมต่อไปคือ นั่งแพไม้ไผ่เพื่อไปถ้ำฝั่งตรงข้าม อย่างที่บอก ที่นี่ไม่สามารถนั่งเรือเข้ามาได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเรือ จึงต้องอาศัยไม้ไผ่ติดเครื่องยนต์เล็กๆ เป็นพาหนะแทน
เมื่อแพเริ่มเดินเครื่องไกด์ตัวน้อยซึ่งน่าจะเป็นลูกของเจ้าหน้าที่ป่าไม้รับหน้าที่ต่อจากพี่รัก พาเรานั่งแพไม่ไผ่ ประมาณสิบนาทีกลางแสงแดดจ้า ก็มาถึงปากทางถ้ำ ทางเดินชันเล็กน้อย ด้านในถ้ำนั้นมืดสนิท ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะมีไฟฉายให้ ซึ่งบริการทั้งหมมดนี้จะรวมอยู่ในแพคเก็ตแล้ว นั้นคือ ทางแพจะจ่ายค่าเข้าอุทยาน แลละค่าเจ้าหน้าที่พาเดินถ้ำให้แล้ว อ้อ สำหรับตอนนั่งแพร้อนๆ เนี่ย สามารถเช่าร่มหรือหมวกตรงแพเจ้าหน้าที่ก็ได้นะครับ จะได้ไม่ร้อน
กลับมาที่ถ้ำ ถ้ำนี่มีชื่อว่า ถ้ำปะการัง ไกด์ตัวน้อยของเรามือนึงถือดาบ lightsaber นำทางพร้อมกับอธิบายแต่ละจุดว่า ตรงนี้ชื่ออะไร ส่วนเราผู้ชมก็ต้องมโนกันตาม ถ้ำนี้ขนาดไม่ลึกมาก พอเดินสบายๆ สวยงามในระดับหนึ่ง เดินชมจนถึงด้านในก็เดินกลับมาทางเดิม
ชมถ้ำเสร็จ แพไม้ไผ่ ก็จะนำเรากลับมายังแพเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เราก็จะเห็นพี่รักนั่งคอยเราอยู่และเดินกลับอีกโลครึ่งเพื่อกลับไปขึ้นเรือ ระหว่างทาง ก็ได้พูดคุยกับทางพี่รักว่า เจ้าหน้าที่ที่นี่ ต้องอยู่อย่างสมถะมากๆ ไฟฟ้าก็ไม่มี ดูแพที่พักก็ไม่มีอะไร แต่พี่รักก็บอกว่า เจ้าหน้าที่ ที่นี้รายได้ดีนะ จากขายของให้นักท่องเที่ยวนี่แหละ อิอิ
เราเดินกลับมายังจุดแรกที่ ที่เรือเราจอด จากเดิมว่าร้านค้าของเจ้าหน้าที่ไม่ได้กินเงินผม สุดท้ายก็ยอม สปอนเซอ 1 ขวดราคา 30 บาท แพงกว่าที่ฝั่ง 1 เท่าตัวซึ่งลองเช็คราคาเครื่องดื่มอื่นๆก็เช่นกัน
เรานั่งเรือกลับมาที่แพเพลินไพรประมาณ บ่ายสามโมง มาถึง ทั้งเสื้อผ้า ฝรั่งนอนอาบแดดกันเต็มระเบียงเลย 555
พักจากการเดินป่าจนแดดเริ่มร่มก็ถึงเวลาพายเรือเล่น รอบๆที่พัก ที่แพเพลินไพรนี้มีเรือพายบริการฟรี แต่จะต้องมัดจำไม้ราคาห้าร้อยบาท สั้นๆสำหรับบรรยากาศ สงบมากครับ พายเรือชิวมาก เงียบสงบน้ำนิ่งลมพัดเอือยๆ ถึงแม้จะร้อนบ้าง แต่เอาเป็นว่าสงบสุดๆครับ
หลังจากพายเรือแล้ว ยังมีอีกกิจกรรมรออยู่ นั้นคือเล่นน้ำ เล่นตรงหน้าห้องที่พักแหละครับ ทางแพจะมีขอนไม้ขนาดใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวได้เกาะ ได้นั่งแช่น้ำ อีกทั้งข้อดีของขอนไม้คือ ช่วยลดคลื่นที่มาปะทะตัวแพ ยามเรือแล่นอีกด้วย
เล่นน้ำจนพอเพียงก็ได้เวลาสำรวจห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ ห้องน้ำที่แพไม่ต้องหวังจะมีน้ำปะปาครับ น้ำที่ใช้ก็เป็นน้ำจากเขื่อนน่ะและ อิอิแต่ก็ไม่สกปรกนะครับ อาบได้ๆ
ต่อมาก็มื้อเย็น จัดว่าเต็มอิ่มมากปลาแรดทอดตัวใหญ่ๆ ผัดพัก น้ำพริกกะปิ แกงเหลืองปลาทะเล และผลไม้ เช่นเดิมท้องเกือบแตก 5555
อีกหนึ่งเรื่องที่นักท้องเที่ยวต้องรู้คือ ไฟฟ้าไม่มีนะครับ สัญญาณมือถือก็ไม่มี (แต่เห็นว่ามี ais นะ) สำหรับไฟฟ้า ทางแพจะมีเครื่องปั่นไฟโดยเริ่มทำงาน หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน ในห้องนั้นแน่นอนไม่มีแอร์ จะมีแต่พัดลม หลังจากมื้อเย็น ก็มานอนตากพัดลมหลับไป ใครที่ตื่นกลางดึกอาจจะร้อนบ้าง บางคนไม่ไหวอาจจะมานอนนอกบ้านก็ได้ไม่ว่ากัน
เลยเวลาเที่ยงคืนทางแพจะปิดเครื่องปั่นไฟ ถามว่าร้อนไหมก็ร้อนบ้างครับ แต่ก็หลับได้ และในช่วงกลางคืนหากใครจะเข้าห้องน้ำเวลานี้ก็ไม่ตั้งห่วงจะมืดนะครับ ทางแพจะเดินเอาตะเกียง มาวางไว้หน้าห้องของเรา เพื่อส่องแสงยามค่ำคืนซึ่งก็ถือว่าทางแพดูแลลูกค้าดีระดับหนึ่ง
เช้าวันต่อมา ตื่นแต่เช้า มื้อเช้าที่นี้จะเป็นข้าวต้มกับกับให้นักท่องเที่ยว พี่รักนัดเราตอนแปดโมงเพื่อจะนั่งเรือไปชมกุ้ยหลินเมืองไทยหรือเขาสามเกลอ ก่อนจะกลับขึ้นฝั่ง เขาสามเกลอนี้ แต่เดิมเป็นบริเวณที่เคยมีหมู่บ้านอยู่ ซึ่งก่อนที่น้ำจะขึ้นมาถึงปัจจุบัน นักท่องเที่ยวสามารถดำน้ำไปดูซากหมู่บ้านได้ แต่ตอนนี้ลึกมากแล้วก็จินตนาการเป็นพอ
เขาสามเกลอเป็นไฮไลท์อีกแห่ง ของเขื่อนรัชประภา เป็นเขาหินปูนจำนวนสามแท่น วางข้างๆกัน เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักจะมาถ่ายรูปกัน
และแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับขึ้นฝั่ง ทางพี่รัก ก็จะพาเรากลับไปส่งที่ท่าเรือเทศบาลเพื่อกลับขึ้นฝั่งพร้อมกับความประทับใจ ในเขื่อนรัชประภาที่สวยงามแห่งนี้ ส่วนพี่รักเองก็รอที่จะรับลูกค้ารายถัดไป ซึ่งเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันของผู้คนที่นี่…..
สรุปข้อมูลที่สำคัญคร่าวๆ
– ค่าแพคเก็ต 2 วัน 1 คืน อาหาร 3 มื้อ ราคา 3400/คน
– ค่ารับฝากรถคืนละ 80 บาท
– สัญญาณโทรศัพท์มีแค่ ais มีเป็นพักๆด้วย
– ไฟฟ้าเปิดหกโมงปิดเที่ยงคืน