เกริ่นนำ
ผมเป็นคนนึงที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ มีความสุขทุกๆครั้งที่ได้เที่ยว หลังจากที่สายการบิน Low-cost เข้ามาทำตลาด (ถึงแม้ช่วงแรกจะยังไม่ low ตามชื่อ) ทำให้มนุษย์ ที่ไม่ค่อยมีตังค์อย่างผมได้มีโอกาศขึ้นเครื่องกับเขาบ้าง ทำให้ผมได้เริ่มท่องเที่ยวในที่ไกลๆ บรรยากาศและวิวทิวทัศที่แปลกตา ช่วงแรกการท่องเที่ยวของผมเริ่มจากภายในประเทศ จนมาถึงจุดนึงที่คิดว่า ควรต้องออกไปสำรวจโลกกว้างงงงงง กว่านี้ เห็นใครต่อใครหลายคนนิยมเที่ยวแบบ backpacker จึงเริ่มศึกษา หาข้อมูล เพื่อประยุกต์ใช้กับการเที่ยวของตัวเราเอง
ขอกลับเข้าเรื่องเดี๋ยวจะออกทะเลซะก่อน จุดเริ่มต้นของผมในครั้งนี้เกิดจาก ผมอยากออกนอกประเทศ 555 เลือกมาประเทศนึง เอาง่ายๆราคาไม่แพง ก็คือสิงค์โปรเนี่ยแหละ “เห้ยมึงกูจะไปสิงคโปรพวกมึงจะไปด้วยกันไหม” ผมชวนเพื่อน เพื่อนสองคนรับปากเสียดายที่อีกคนในแกงค์ไม่สามารถไปด้วยได้ ผมและเพื่นอีกสอง โดยโปรไฟล์ของทั้งสามคนดังนี้
คนแรกนามว่า”ไอ้เต้” เคยเที่ยวสิงค์โปรแล้วแต่ไปกับคนรู้จัก พอมีพื้นฐานภาษาอยู่บ้าง ไม่เคยมีประสบการณ์เที่ยวลำพัง คนนี้รับอาสาวางแผนเวลาและเส้นทางการท่องเที่ยวในทริปนี้
คนต่อมา”เห้เอ้”ไปมาหลายประเทศยุโรปยังเคยไปแต่ แต่!! ไปกับทัวร์ตลอดแถมยังมีประสบการณ์เรียนภาษาที่ออสเตรเลีย ภาษาและประสบการณ์จึงง่อยมาก 5555
สุดท้ายผม คนที่เที่ยวบ่อยแต่ในประเทศทั้งนั้นอีกทั้งภาษาอังกฤษยังง่อยแต่ จึงขอรับหน้าที่หาโรงแรมกับจองเครื่องบินละกัน
สำหรับใน Blog นี้จะไม่ได้เล่ารายละเอียดเชิงลึก ซึ่งข้อมูลพวกนี้สามารถหาได้ในเน็ต เช่น ค่าเงิน ปลั๊กไฟ การสมัครเน็ต การเดินทาง แต่ Blog นี้จะขอเล่าเปนเรื่องราวประสบการณ์ไปเรื่อยๆตามประสาละกันครับ
วางแผนการเดินทาง
เพื่อให้ไม่เหนื่อยจากการเดินทางไป เราทั้งสามซึ่งป็นมนุษย์เงินเดือนจึงวางแผนไว้ว่าจะลาหยุด 2 วัน รวมเสาร์อาทิตย์ รวม 4 วัน แต่มีเวลาสำหรับพัก 1 วันสรุปแล้ว เที่ยว 3 วัน 2 คืน พอเพียงสำหรับเกาะเล็กๆอย่างสิงคโปร์
ผมทำการจองเที่ยวบิน เราได้เที่ยวบินของ Tiger Air บินตรงไปสิงคโปรไม่ได้แวะพักที่ฮ่องกงหรือฮานอยแต่อย่างใด (ก็แหงล่ะสิมันใกล้ๆนี่นา 555) ตอนนั้นได้ราคามา 2970 ต่อคน ส่วนโปรจำไม่ได้ว่าเป็นโปรอะไร สำหรับพวกผมแล้ว ไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มเติมเลยตามประสาคนที่ต้องการเที่ยวอย่างประหยัด
สำหรับที่พักก็เป็นผมอีกที่อาสาจอง ผมเลือกที่พักย่านเกลัง ทีขึ้นชื่อเรื่องเป็นโซนขายบริการ แต่ไม่ต้องคิดลึกนะครับ เหตุผลที่ผมเลือกที่นี้คือ… ราคาไม่แพง เป็นโรงแรมขนาดไม่เล็กมาก พอจะเดินจาก MRT ไหว 555 แค่นั้นแหละครับจึงทำการจองไป ตก 780 บาท ต่อคนต่อคืนเท่านั้น (ตอนแรกกะนอน hostel แล้วเชียว
การจองสายการบินและที่พักให้เพื่อนๆ ก็มีข้อดีเหมือนกันครับ เพราะการจองลักษณะนี้ต้องจองโดยจ่ายผ่านบัตรเครดิต ผมเลยรับแต้มไปเต็มๆ
ในส่วนต่อมาแผนการเที่ยว เต้รับหน้าที่นี้ทำการวางแผนและส่งให้ในไฟล์ Excel แต่…!! เราไม่ได้เที่ยวตามแผนที่วางเอาไปซะทีเดียว เพราะฉะนั้น ค่อยๆตามเรื่องไปนะครับ 5555
อ้อ เกือบที่จะลืม SIM3G จำเป็นมากสำหรับ backpacker มือใหม่อย่างพวกผม ทั้งโทรกลับบ้าน ทั้งไว้หาข้อมูล google หรือเปิดแผนที่อย่าง MAP SIM หาซื้อได้ตามเซเว่นง่ายมากๆ ราคา 15SGD ได้มูลค่า 18 SGD สมัครเน็ตแบบ7 วัน 1 GB ราคา 7 SGDเหลือโทร 11 SGD โทรกลับไทยได้เป็นชั่วโมง 555 สุดท้ายแล้วเอาซิมกลับมาขายต่อที่ไทยได้ด้วย 5555
เริ่มออกเดินทาง
เช้าวันที 16 ตุลาคม วันออกเดินทาง ด้วยความต้องการประหยัด จะให้นั่งแทกซี่จากบ้านเลย ก็กลัวจะเปลืองโดยใช่เหตุ หรือจะให้เอารถไปจอดที่สุวรรณภูมิค่าจอดก็แพงโข จึงหันมาใช้บริการรถสาธารณะ ก่อนจะเปลี่ยนไปนั่งแทกซี่แถวๆ ปากทางเข้า นัดแนะกับเพื่อนทั้งสองว่า ตั๋วเครื่องบินที่เราจองไม่มีอาหารให้ จะให้ซื้อก็แพง เราจึงจะไปหาข้าวกินกันที่ Food court ของสนามบินซึ่งมักจะเป็นพนักงานที่ทำงานที่สนามบินหรือผู้รู้เท่านั้นที่มาใช้บริการ โดยข้อมูลนี้หาได้จาก internet ซึ่งระบุไว้ว่าอยู่ชั้นล่างๆ ผมจำไม่ได้ 555
เมื่ออิ่มหนำเรียบร้อย เราก็กลับมาทำการเช็คอิน ผู้คนไม่เยอะนักไม่ต้องต่อคิว ยื่นpassport ได้ใบ ตม.ไทยมาด้วย แต่เมื่อถึง ตรงตม.ไทย ไม่มีปากกาสักด้ามมมม งานเข้าและ เราทั้งสามคนคิดไม่ถึงจึงไม่ได้พกปากกามา แถมตรงจุดที่กรอก ซึ่งคาดว่าจะเคยมีปากกา ก็เหลือแต่เชือก เข้าใจว่าก่อนหน้านี้มีปากกา พวกเราจึงต้องไปยืม ตม. ฝั่งคนต่างประเทศ กลับมาที่ ตม. เครื่อง ตม. อัตโนมัติ ถามว่าดีกว่าไหม ไม่ทราบครับ เพราะไม่เคยใช้บริการ ตม.ปกติ 5555 จนสุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ และแล้วก็เป็นก้าวแรก ที่ก้าวออกนอกประเทศบ้านเกิดตัวเอง 555 เราเดินผ่านดิวตี้ฟรีมารอที่เกต เวลานั้นคนไม่เยอะ เราก็ถ่ายรูปเล่นและนั่งคุยกันตามประสาเพื่อน
เมื่อถึงเวลา Board เราเข้ามานั่งบน เครื่อง Tiger Air ซึ่งเป็น Airbus แบบ 320 จัดที่นั่งแบบ 3-3 พอสบายตัว หลังจาก take-off แล้ว ถึงคราวที่ลูกเรือแจกใบ ตม.สิงคโปร์ นึกขึ้นได้ ตายห่า เราไม่มีปากกา คราวนี้ต้องขอบคุณสจ๊วตที่ให้ยืมครับ และไม่คืน เอ๊ยไม่ลืมคืนเค้าเวลาใช้งานเสร็จ
ก้าวแรกที่สิงคโปร์
จำไม่ได้หรอกครับว่าซ้ายหรือขวา 555 สำหรับผมแล้วตื่นเต้น 555 ถึงแล้ว เมืองนอกกกกกกกกก เริ่มแรกเลยบัตร Ezy link ผมได้รับส่งต่อจากน้องสาว ส่วนเพื่อนอีกสองต้องไปซื้อเอาที่นั้น พวกเราเติมเงินเสร็จก็มารอขึ้น MRT เข้าเมืองกัน
รถไฟฟ้า MRT
รถไฟฟ้าสิงคโปร เด่นตรงที่ว่า มันไปทั้งใต้ดินบนดินและลอยฟ้า และที่รู้สึกแปลกคือ เวลามันเริ่มออกจากสถานี จะมีลดพัดจากหน้าขบวน ดุจหน้าขบวนเปิดโล่ง 555 อ่อที่แตกต่างจากบ้านเราอีกอย่างคือ มีตู้ขบวนยืนโดยเฉพาะอีกด้วย
ที่หมายแรกที่เราต้องการเดินทางไป จากเดิมเราจะเอากระเป๋าไปฝากที่พัก แต่เปลี่ยนแผน เราไป china town เพื่อซื้อตั๋วเข้า USS กันก่อนและที่สำคัญ ท้องร้องแล้วสิ 555
China town
ยังไง..โผล่มาก็งงเลย ไปทางไหนดี หิวแล้วสิงั้น มาถึงนี้ตามรอยต้องไปที่ Max food well เพื่อกินข้าวมันไก่ 555 ที่ไทยก็มีทำไมต้องมาถึงนี่ ข้าวมันไก่ที่นี้ จากที่สัมผัสมา ไก่กับน้ำจิ้มจะต่างกับไทย ไก่เต็มๆ น้ำจิ้มออกแนวซอส รสชาติหรอกก็อร่อยดีนะ แต่ผมว่าไทยเราหลากหลายและอร่อยกว่า พวกเราคลำทางอยู่นาน กว่าจะหาศูนย์อาหารได้ ข้างๆศูนย์อาหารมี 7-11 เราจึงเข้าไปซื้อซิม เพื่อเก็บไว้ใช้งาน 3G กันหลง อิอิ
วัดพระเขี้ยวแก้ว และห้าง people park
อยู่บริเวณ china town ไม่เหมือนวัดบ้านเรานะ เป็นเหมือนอาคารออกจีนๆมีหลายชั้น ด้านในบางชั้นห้ามถ่ายรูป เราเดินชมและไหว้พระกันตามประสา ก่อนออกมา หาทางไปจุดหมายต่อไปคือ ห้าง people park เพราะจากรีวิว เราต้องมาซื้อบัตรเข้า USS กับ Singapore flyer ที่นี่ กว่าเราจะมาถึงเดินไปเดินมา ไม่เห็นเจอร้านในรีวิวเลย แต่เราเจออีกร้านนึงที่ราคาถูกกว่าร้านที่คนนิยมอีก คนขายพอพูดไทยบ้าง เราจึงเทียบราคา เห้ยยย ไม่ต้องไปร้านนั้นแล้วร้านนี้ถูกกว่า เราก็ซื้อเลย ปล.จำชื่อร้านไม่ได้ง่ะ
Fragrance Hotel Sapphire – Geylang
หลังจากหลงทางที่ china town สถานที่ต่อไปที่เราจะเดินทางไปคือโรงแรม ที่ๆเราจะนอนในคืนนี้ เรา check in และนำกระเป๋ามาเก็บก่อนพักสักหน่อยแล้วลุยกันต่อ โรงแรม Fragrance Hotel Sapphire ตั้งอยู่ย่าน เกลัง ย่านโคมแดงหรือย่านขายบริการ สำหรับที่สิงคโปร์นี้ การขายบริการมีทั้งถูกและผิดกฎหมาย หากถามว่าย่านนี้เป็นอย่างไร น่ากลัวไหม ขอตอบว่าไม่นะครับ กลางวันนี้เหมือนปกติเลย กลางคืนถ้าไม่ดึกเกินสี่ทุ่มก็ปกติ ดึกๆ แอบส่องหน้าต่างลงมาเห็น คนจับกลุ่มเหมือนเล่นการพนันสักอย่างอยู่หลังซอยด้วย 555 แต่เราไม่ยุ่งเขาก็ไม่อยู่กับเรา
โรงแรมนี้ปลอดภัย อาจจะห่างจาก MRT สักหน่อย (เดินประมาณ 500 m) วันแรกที่ไปถึงฝนตก ถึงกับต้องเอาถุงพลาสติกคลุมหัวเดินกันเลยทีเดียว วันต่อมาจึงได้รับคำแนะนำจากพนักงานโรงแรมว่าสามารถขึ้นรถเมลไปที่ MRT ได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที สามป้ายเท่านั้น 5555 ขากลับหรอรอรถเมลไม่มาสักดี แต่เดินชมวิวกลับมาเรื่อยๆก็เพลินเหมือนกัน
ห้องที่เราจองเป็นแบบ Family ขนาดสามเตียง ไม่ใหญ่พอที่จะตั้งวงตะกร้อ แต่ใหญ่พอเพียงสำหรับใช้นอนหลับพักผ่อนและเก็บกระเป๋า มีห้องน้ำส่วนตัวผ้าเช็ดตัวพร้อม หลับสบายจบแค่นั้นพอ 555
Orchard Road สยามพาราก้อนบ้านเราดีๆนี่เอง
สถานที่ต่อมา Orchard แหล่งช๊อปปิ้งชั้นนำและหรูหราของสิงคโปร์ เหมือนกับ siam paragon ที่ประเทศไทยสำหรับพวกเราหรอ ไม่มีอะไรเลยเพราะพวกเราไม่ใช่ขาช๊อปครับ 555 สุดท้ายแล้วเรามาเพียงซื้อข้าวโพดเจ้าดังที่เมืองไทยก็มีและ นั่งกินไอศครีมขนมบังแบบรถเข็น แล้วที่เหลือ นั่งมองงงงง รอบๆ ชิวๆ เท่านั้น
Fountain of Wealth น้ำพุแห่งความมั่งคั่งร่ำรวยล้นฟ้ามหาเศรษฐี
มันคือน้ำพุที่เกิดจากมนุษย์สร้างขึ้น เคยเห็นในรูปเหมือนจะเล็กแต่ของจริงใหญ่พอควร ตั้งอยู่กลางห้างชั้นใต้ดิน กินอาณาเขตไปถึงบนดิน พวกเราไปถึงก็มืดแล้ว หาทางเข้าไม่เจอไม่มีคนเข้าด้วย เราเลยไม่กล้าเข้าไป แต่เราขึ้นไปด้านบนเพื่อนถ่ายรูป ด้านบน บริเวณนี้เป็นถนน ทำให้ตัวน้ำพุดูเหมือนจะเป็นวงเวียน เราหาที่ข้ามถนนไม่เจอ ต้องวิ่งข้ามกันจนเกือบจะถูกรถชน 5555 เมื่อถึงเวลา น้ำพุก็ทำการโชวๆๆๆ ความสวยงาม สายน้ำและแสงไฟจัดว่าสวย คนที่มาที่สิงคโปร์ไม่ควรพลาด
หลังจากที่เราดื่มด่ำกับบรรยากาศและถ่ายรูปสายน้ำและแสงไฟสวยๆ ถึงเวลาต้องไปต่อ เวลานี้ก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว ที่หมายต่อไปคือ Singapore Flyer ชิงช้าสวรรค์ที่เคยขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดในโลกกกกก ดูจาก google map มันไม่ไกลมากเราจึงใช้วิธีการเดินไป
Singapore Flyer ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ที่บ้านเราไม่มี
ระหว่างทาง พบเสาตอม่อทางด่วนที่มีต้นไม้ปกคลุมซึ่งดูแล้ว เป็นการผสมผสานระหว่าง อารยธรรมของมนุษย์กับธรรมชาติที่เข้ากันผม ผมว่ามันสวยนะอยากให้ที่บ้านเราทำแบบนี้บ้าง
singapore flyer มองเห็นแต่ไกล คลำหาทางขึ้นสักหน่อย เดินตามทาง บรรยากาศวังเวงสักหน่อยเพราะดึกแล้ว เข้าคิวที่ไม่ยาวมาก กระเช้านึงจุคนได้ 10 คน มีแอร์ไม่ต้องกลัวร้อน กระเช้าขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วระดับเต่าคลาน 555 จนถึงจุดบนสุด เราชมวิวยามค่ำคืนของสิงคโปร ซึ่งผมว่าเป็นอีกที่ ที่พลาดไม่ได้และคุ้มค่ามากกับเงินที่เสียไป
ก่อนที่จะเก็บภาพถ่ายไว้เป็นความทรงจำ ก่อนจะกลับลงมาได้แวะกินข้าวกันที่ food court ซึ่งเหลือเปิดอยู่ไม่กี่ร้าน อาหารมื้อนี้ สั่งก๊วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นครับ รสชาติพอใช้ หนักไปทางเค็มแบบจีนๆ แม่ครัวพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำเอาสั่งอยู่นานเมื่อท้องอิ่มก็ได้เวลากลับไปพักผ่อน เพื่อให้พร้อมที่จะลุยกันต่อในวันรุ่งขึ้น
vivo city – sentosa – merlion ยักษ์
เช้าวันแรกในแดนต่างเมือง โรงแรมที่เราพักนั้นไม่มีอาหารเช้าให้ เราจึงมาฝากท้องระหว่างทางที่จะไป uss เราก็ได้ร้าน fastfood ที่คุ้นเคยที่ไทยนั้นคือ mc โดย mc ที่เราใช้บริการนี้อยู่ในห้าง vivo city ที่ด้านบนมีรถไฟฟ้า ไปเกาะ sentosa ซึ่งเป็นที่อยู่ของ uss
มื้อเช้าของผมวันนี้ ผมสั่งชุด breakfast ตามรูป มุมขวาล่าง ได้หนมปังสองชิ้น ไข่ แฮมเบอร์เกอ และปลาทอด อ่อ กาแฟขมๆอีกแก้ว อยากบอกว่าไม่อร่อยเลยจืดๆ ไม่ถูกปากอย่างแรง 555
หลังจากรองท้องแล้ว เราขึ้นมาชั้นบนสุดของห้าง บัตร Ezy link สามารถใช้ชำระค่ารถข้ามไปเกาะ sentosa ได้
สำหรับสถานที่แรกบนเกาะที่เรามาทักทายก็คือ เจ้า Merlion ขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุด อย่างที่เราทราบกันดีกว่าที่สิงคโปรมี Merlion สามตัว อีกสองตัวอยู่ตรง Merlion park ส่วนตัวนี้จะมีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ที่เกาะ sentosa ถ่ายรูปยืนยันกับเจ้าถิ่นว่าเรามาหาแล้วนะ 5555
Universal studio singapore หรือ เรียกย่อๆว่า USS
สำหรับ สวนสนุกมาตรฐานโลกที่อยู่ใกล้ไทยที่สุดคง ไม่พ้นที่นี้ พวกเรามาถึงกันแต่เช้า ก็มาต่อคิวทางเข้าซึ่งเปิดจริงๆ สิบโมง แต่ผมมาถึงเก้าโมงครึ่ง คนก็ต่อคิวกันพอสมควร โดยระหว่างรอ มีตัวการ์ตูนออกมาทักทายเรียกเสียงฮือฮาให้กับเด็กๆ บ้าง
ประตูเปิดปุ๊บเครื่องเล่นแรกที่ใครใครต่างแนะนำคือ transformer เหมือนนั่งรถที่ฉายหนัง transformer สี่มิติ พาเราเข้าไปโลดแล่นใน transformer สนุกและมันส์อย่างที่เข้าบอกจริงๆ
ความหึกเหิมยังไม่หมดเห้เอ้เพื่อนผู้ร่วมทริป พาไปต่อกันที่ Mummy ซึ่งนี่ก็ถูกแนะนำมาเหมือนกันว่ามันส์ แต่เอ๊ะ ทำไมมีคำเตือนข้างหน้าด้วยเนี่ย แถมยังต้องฝากสัมภาระด้วย ด้วยตัวผมเองไม่ถนัดสายนี้ใจเริ่มหวั่น แต่ด้วยเอ้มันไม่มีเพื่อน ส่วนเต้หรอ บายแน่นอนกล่อมยังไงก็ไม่เข้า 555 ผมก็เข้าไปกับเอ้สองคน ด้านในหรอเดินลัดเลาะคดเคี้ยวยาวมากกว่าจึงถึง เอ้อลืมบอกไป ตอนที่เข้า transformer คิวก็ไม่เยอะนะครับ ที่นี้เหมือนกันเข้าไปถึง นั่งเลยเสียวเลย ไม่ต้องบอกก็รู้ หลังจากรถไฟเหาะในร่ม(ขอเรียกแบบนี้ละกัน) เริ่มเร่งความเร็ว ตาผมก็หลับเกือบสนิท มือที่กุมแน่นและเสียงบ่นเบาๆว่า ไม่อาวววววแล้วว 55555
ผมบอกกับเอ้เพื่อนผมไปว่า เห้ยกุไม่เอาและไม่ไหวแล้วว่ะ 555 ฉะนั้นเครื่องเล่นต่อไปของเรานี่ชิวมากเหมากับเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี นั้นคือรถคุณปู่ จริงๆไม่ใช่ชื่อนี้หรอกครับ แต่เหมือนรถคุณปู่ที่ดรีมเวิล คือชิวมากๆๆๆๆๆ พวงมาลัยหมุนเองจนบางครั้งตีขาเจ็บถ้าไม่ระวัง
โซนต่อมา the lost world มองเห็นเครื่องเล่น Canopy Flyer จากด้านล่าง อารมณ์เหมือนโดนไดโรเสาร์หิ้วไปกินที่รัง 555 มองจากข้างล่างเห้ย ช้าๆไม่เร็วน่าเล่นว่ะ เครื่องเล่นนี้ เต้ก็ขอผ่านอีกตามเคย ผมกับเอ้ไปกันสองคน แถวหน้ามีเด็กฝรั่ง เครื่องเล่นตัวนึงจะมีสองแถวคือหันหน้ากับหันหลัง พวกผมได้หันหลัง มีเหล็กล๊อกไว้ให้จับพอประมาณ ถึงเวลาก็ถูกลากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มสูง เริ่มเสียว แล้วทันในนั้นปล่อยไปตามแรงโน้มถ่วง ซึ่งเร็วมากกกกก โอ้วววว กะไม่เสียวแล้วแต่นี้เสียวววมากกกกกกกกกกก ไอ้เด็กฝรั่งข้างหน้าสงสัยตายด้านนิ่งเลย 5555 วนหนึ่งรอบเกือบตาย ลงมาขาสั่น
ไปต่อกันด้วย Jurassic Park Rapids อันนี้เหมือนล่องแก่งแบบที่ไทย ผมและเต้ไม่มีใครเตรียมเสื้อกันฝนมาเลย ยกเว้นเอ้ เสื้อที่นี้ก็แสนแพง เพราะฉะนั้นเสียสละคลุมกล้องของผมละกัน 555 ส่วนคนหรอเปียกก็เปียก ลำของเรามีสองพ่อลูกคนไทยร่วมแจมด้วย จะว่าไปสิงคโปร์คนไทยเยอะมากๆ ไปที่ไหนก็เจอ กลับมาที่เครื่องเล่น อารมณ์เหมือนกับล่องแก่งที่สวนสนุกบ้านเราแต่ มีเซอไพซ์ครับ เรือเราถูกดันขึ้นบนยอดสูงทันใดนั้นไทรันโนซอรัสโผล่มาแต่หัวจะง้ำเรา แล้วเรือก็พุ่งลงมาอย่างเร็วจน ตู๊มมมม เปียกทั้งตัว 555
หลังจากเปียกบอน เรายังมาชมโชวต่างๆกันต่อเช่น shrek 4D การแสดง water world รวมถึงอาหารเที่ยงโซนมาดากัสก้า ซึ่งผมสั่งข้าวมันกับไก่ย่างปลาซิวกรอกซึ่งเป็นอาหารอินเดีย ซึ่ง ตามตรง ไม่อร่อยอย่างแรงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง และด้วยความที่อยู่บ้านมีผลไม่กินทุกวัน มานี้ไม่ได้กิลผลไม้วันเดียวจะลงแดงตายเลยต้องจัด แก้วใส่ผลไม้ราคามหาโหดตีเป็นเงินบาทเกือบร้อยยยย บาท บ่ายๆก่อนกลับ เราแวะเล่น Transformer อีกรอบ เป็นอันร่ำลา USS
ตามแผนแล้วเราต้องมากินข้าวเย็นกันที่ Clarke Quay แต่เรามาถึงเร็วและ มันยังไม่มีอะไร แถมพวกเราทั้งสามไม่ใช่ขาดื่ม 555 เราจึงเดินชมมาเรื่อยๆ กว่าจะหาทางข้ามไปยัง Merlion park ก็เหงื่อตกพอสมควร พึ่งมารู้ทีหลังว่า สามารถเดินลอดใต้สะพานได้ เราก็ถ่ายรูปบริเวณนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งบริเวณนี้ ชิวมากๆๆๆๆ เราถ่ายรูปกับ Merlion พ่นน้ำ คนที่นี้เยอะพอสมควร เราต้องรอถึงสองทุ่มเพื่อรอดูการแสดง แต่เราเริ่มหิวกันแล้ว มื้อเที่ยงที่แสนแพงและไม่อร่อยที่ USS เริ่มทำพิษ เราได้ร้านเล็กๆซึ่งน่าจะเป็นร้านกาแฟมากกว่าร้านข้าวเป็นที่พึ่งสำหรับมื้อเย็นนี้ บะหมี่แห้ง รสชาติไม่ได้อร่อยนักแต่ก็ช่วยได้ดี อิ่มแล้วเรากลับถ่ายรูปในบรรยากาศกลางคืนและปิดท้ายด้วย ชมการแสดงโชว์ แสงสีของตึก marina bay sand
Garden by the bay
วันสุดท้ายที่สิงค์โปร check out เสร็จ มื้อเช้า ข้าวมันไก่ราคาไม่แพงแถวที่พัก ถึงแม้ไม่อร่อยมากแต่ก็พอรองท้องได้ สถานที่เที่ยวที่สุดท้าย ก่อนกลับบ้านคือ Garden by the bay ไปดู Super tree ฝีมือมนุษย์ แต่ก่อนไปเราแวะซื้อของฝากแถว Bugis และไหว้พระที่ Kuan Im Tng Temple ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี้ จริงๆคนที่นี้ก็น่าสงสารนะพื้นนี้น้อย ส่วนใหญ่อยู่คอนโด ร้านอาหารแบบร้านๆที่ไทยก็ไม่มี ไปที่ไหนก็เจอคนเยอะ กลับมาที่ Bugis เราหาซื้อของฝากซึ่ง… สิงค์โปรไม่รู้จะซื้ออะไรฝากดี สุดท้ายก็ไปจบลงที่ขนม ช๊อกโกแลต(จากญี่ปุ่นอีกที) และพวงกุญแจ 555
จบจากการซื้อของฝาก เราหอบหิ้วกระเป๋าที่หนักอึ้งเหมือนพวกบ้าหอบฟางมาที่ Garden By the by คนไม่เยอะมากแต่อากาศร้อนสุดๆ แถมกระเป๋าก็หนักสุดๆ เราเดินกันไม่ได้มาก ต้องมาพัดที่ร่มไม้ของ super tree แต่พอมีลมพัดมาก็ได้หายเหนื่อยกันบ้าง
หลังจากพ่ายแพ้ให้อากาศอันร้อนระอุก็ได้เวลาจบทริปที่สนามบิน กลับบ้านเราไอเลิฟยูไทยแลน สามวันเอง คิดถึงกระเพรา คิดถึงส้มตำ คิดถึงผลไม้ 55555
เจอกันทริปหน้าตัดจบกันดื้อๆอย่างนี้แหละ 555——————–